ธารา บัวคำศรี
กรีนพีซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
http://www.thaipost.net/tabloid/080412/55142
เมื่อรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว)
ประกาศ
แผนการเปลี่ยนประเทศให้เป็น "แบตเตอรี่ของอาเซียน" ภายในปี
พ.ศ.2563 เพื่อให้ตนเองหลุดพ้นจากความเป็นประเทศด้อยพัฒนา
และการปรับเปลี่ยนแนวทางการพัฒนา
โดยการวางแผนจากส่วนกลางมาเป็นระบบเศรษฐกิจแบบตลาดที่ดำเนินการสืบเนื่องมา
ก่อนหน้านี้ จำเป็นต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล
หนึ่งในยุทธศาสตร์หลักที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือดึงการลงทุนจากต่างประเทศใน
โครงการขนาดใหญ่ทั้งด้านป่าไม้ เหมืองแร่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านพลังงาน
ดังนั้น
นอกจากเราจะได้เห็นการสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่หลายโครงการเกิดขึ้นใน
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว อย่างเช่น
เขื่อนน้ำเทิน 2 ซึ่งถือเป็นแบตเตอรี่ก้อนใหญ่ที่ช่วยเติมเต็มแผนการให้เป็น
ไปตามเป้าหมาย
แม้ว่าจะต้องแลกกับผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมรวมถึงการสูญเสียระบบ
นิเวศวิทยาที่สำคัญอย่างไม่มีวันฟื้นคืน
เรายังจะได้เห็นอภิมหาโปรเจ็กต์ด้านพลังงานอีกอันหนึ่งนั่นก็คือ
โครงการลิกไนต์หงสา
โครงการลิกไนต์หงสา
มิใช่เป็นเพียงโครงการเหมืองถ่านหินแบบเปิดหน้าดินธรรมดา
หากแต่พ่วงเอาโรงไฟฟ้าพลังความร้อนขนาด 1.878 กิกะวัตต์
ซึ่งใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง
รวมถึงระบบสายส่งไฟฟ้าข้ามพรมแดนเชื่อมกับระบบสายส่งไฟฟ้าของไทยเข้าไปด้วย
ถ้าจะเทียบรุ่น ก็เป็นน้องๆ ของเหมืองถ่านหินและโรงไฟฟ้าลิกไนต์แม่เมาะ
ที่ลำปาง
ซึ่งขณะนี้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยกำลังทุ่มทุนประชาสัมพันธ์หลอก
ประชาชนว่าปลอดภัยไร้มลพิษ
จะว่าไปแล้ว
โครงการลิกไนต์หงสาเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2539 โดยบริษัทไทย-ลาว ลิกไนต์จำกัด
(TLL) โดยมีบริษัททีมคอนซัลติ้งของไทยเจ้าเก่า
ทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมทั้งในส่วนของเหมืองถ่านหินและโรงไฟฟ้า
และรายงานการตรวจสอบด้านสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น
ในส่วนของระบบสายส่งและแผนปฏิบัติการอพยพย้ายถิ่นของชุมชน
แต่โครงการถูกยกเลิกก่อนที่รายงานต่างๆ จะแล้วเสร็จ และในปี 2548 บริษัท
บ้านปู จำกัด (มหาชน) (BANPU)
ยักษ์ใหญ่ถ่านหินจากไทยได้ถูกพิจารณาให้ดำเนินโครงการโดยร่วมทุนร้อย
ละ 37.5 ร่วมกับ บมจ.ไฟฟ้าราชบุรี
(RATCH) ซึ่งเข้ามาร่วมทุนในเดือนพฤศจิกายน 2550 อีกร้อยละ 37.5 ส่วนที่
เหลือเป็นของรัฐบาล สปป. ลาว
มีข้อสังเกตว่า ในกรณีที่ทางบริษัท
ไทย-ลาว ลิกไนต์
ฟ้องรัฐบาลลาวหลังจากถูกยกเลิกสัญญาสัมปทานโครงการโรงไฟฟ้าหงสา
โดยเรียกร้องค่าเสียหายเป็นเงิน 56 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1,700 ล้านบาท) และ
การที่ศาลนครนิวยอร์กยืนยันเดินหน้ากระบวนการอนุญาโตตุลาการเมื่อเร็วๆ นี้
อาจไม่ส่งผลต่อการเดินหน้าโครงการ
แต่เมื่อพิจารณาถึงความใหญ่โตของโครงการเหมืองและโรงไฟฟ้าและผลกระทบด้าน
สังคมและสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นตลอดช่วงอายุ 25 ปี
ลิกไนต์หงสาอาจไม่มีอนาคตสดใสเสียทีเดียวนัก
นี่ยังไม่รวมถึงช่องโหว่ในเรื่องของสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ทำขึ้นระหว่าง
โครงการและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
การให้เงินกู้ของธนาคารพาณิชย์สัญชาติไทยหลายแห่ง
ซึ่งนำไปสู่การตั้งคำถามในเรื่องของธรรมาภิบาลและความโปร่งใสจากกลุ่มประชา
สังคมที่ทำงานด้านพลังงานในประเทศไทย
เนื่องจากมีข้อจำกัดในเรื่องการเข้าถึงข้อมูลรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม
บทความนี้ไม่สามารถลงรายละเอียดอย่างเป็นรูปธรรมได้
ข้อมูลจากการสำรวจวิจัยอิสระภาคสนามซึ่งผู้เขียนได้มาจากอาสาสมัครกลุ่ม
หนึ่ง ได้ระบุประเด็นผลกระทบสำคัญในช่วงต้นของการเตรียมโครงการ
โดยเฉพาะในเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ได้รับผลกระทบและการเข้าถึง
ข้อมูลข่าวสารของโครงการ เป็นที่ชัดเจนว่าคนท้องถิ่นในอำเภอหงสา
แขวงไซยะบุรี ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
และหมู่บ้านโดยรอบที่อยู่ในเขตที่ตั้งของโครงการ
ไม่รู้ข้อมูลเรื่องโครงการเหมืองถ่านหินและโรงไฟฟ้า
ทั้งจากบริษัทและเจ้าหน้าที่ของรัฐ การประชาสัมพันธ์โครงการนั้น
ก็เป็นไปตามแนวทางดั้งเดิมของทุกๆ โครงการพัฒนาขนาดใหญ่ที่ผ่านมา
ไม่ว่าจะเกิดขึ้น ณ ที่ใด
นั่นคือผลดีที่จะเกิดขึ้นกับท้องถิ่นในเรื่องของการจ้างงานและปรับปรุง
คุณภาพชีวิต
ข้อมูลที่เราได้รับจากการสำรวจภาคสนามในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา
(ภายใต้ข้อจำกัดของสถานการณ์ที่เข้มงวดใน สปป. ลาว) พบว่า
มีหลายชุมชนต้องย้ายถิ่นฐานเพื่อหลีกทางให้กับโครงการถ่านหินยักษ์ใหญ่ที่จะ
กลายมาเป็นแบตเตอรี่ก้อนใหม่ให้กับอาเซียน
คำบอกเล่าของคนที่ได้รับผลกระทบจากการย้ายถิ่น
ทำให้เรานึกถึงภาพในอดีตครั้งเมื่อรัฐบาลไทยโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตเริ่ม
โครงการถ่านหินที่แม่เมาะ จังหวัดลำปาง ชาวบ้านหงสาคนหนึ่งเล่าว่า
เขาสูญเสียพื้นที่เกษตรและบ้าน
เขาไม่ต้องการย้ายไปยังที่ใหม่แต่ไม่อาจปฏิเสธเจ้าหน้าที่ของรัฐได้เพราะ
ที่ดินเป็นของรัฐ ถ้ารัฐต้องการที่ดิน
เราต้องคืนให้เพราะว่ารัฐบาลจะพัฒนาและประชาชนต้องร่วมมือ
ส่วนอีกคนหนึ่งบอกว่าตนเองก็สูญเสียที่ดินเพราะว่าอยู่ในพื้นที่โครงการ
เหมืองถ่านหินและโรงไฟฟ้า เขาได้รับค่าชดเชยและมันก็ยุติธรรมดี
แต่เขาไม่อยากได้เงินเพราะว่าที่ดินนั้นเป็นมรดกตกทอดจากปู่ย่าตายายและเขา
ต้องการเก็บไว้ให้ลูกหลาน ถ้าเขาไม่มีที่ไร่ที่นาเลย
เขาจะเอาข้าวมาจากที่ไหน
ก่อนที่สภาแห่งชาติลาวจะอนุมัติโครงการเหมืองถ่านหินและโรงไฟฟ้าที่หงสา
แขวงไซยะบุรี
ได้ส่งเสริมให้พื้นที่นี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศโดยจุดขายที่สำคัญคือ
เทศกาลช้าง
ซึ่งดึงดูดให้นักท่องเที่ยวนับหมื่นคนในแต่ละปีแม้ว่าอำเภอหงสาจะอยู่ห่าง
ไกล แน่นอนว่าเทศกาลช้างนั้นทำให้คนท้องถิ่นมีรายได้มาถึงมือโดยตรง
คนท้องถิ่นหลายคนตั้งคำถามว่าทำไมรัฐบาลของเขาเปิดให้โครงการเหมืองและโรง
ไฟฟ้าถ่านหินที่มีนักลงทุนจากประเทศไทยมาดำเนินการห่างจากหมู่บ้านที่จัด
เทศกาลช้างเพียง 5-7กิโลเมตร
พวกเขาไม่เข้าใจและกังวลต่อแนวทางการพัฒนาเช่นนี้
อายุของโครงการลิกไนต์หงสานั้นมีระยะเวลาอย่างน้อย 25 ปี
นั่นหมายถึงผลกระทบอาจเกิดขึ้นต่อการจางหายไปของรากฐานทางวัฒนธรรมที่คนกับ
ช้างที่ชาวหงสาดำรงอยู่มายาวนาน
การบังคับ (กลายๆ)
ให้อพยพย้ายถิ่นออกจากผืนดินเกิดของตนเองด้วยเหตุผลเรื่องการพัฒนา
และคนส่วนน้อยต้องเสียสละเพื่อคนส่วนใหญ่
เป็นโศกนาฏกรรมของมนุษย์มาโดยตลอดในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา
ไม่ว่าเราจะพิจารณาในมุมใด
และสำหรับชาวหงสาซึ่งประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลาย
นี่เป็นเพียงการเริ่มต้น
เราไม่รู้ว่าขอบเขตผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมจากโครงการนี้จะกว้างขวาง
เพียงใด
คำตอบมิใช่อยู่ในรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรือเทคโนโลยีเผาไหม้ถ่าน
หินที่ บมจ.บ้านปู จะนำมาใช้
มิใช่อยู่ในกฎหมายและระเบียบปฏิบัติของสภาแห่งชาติลาวที่มีความเข้มงวดมาก
ขึ้นในการระวังผลกระทบจากโครงการลงทุนจากต่างประเทศ แต่คำตอบอยู่ที่ชาวหงสา
แห่งแขวงไซยะบุรีเอง พวกเขาจะต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ
ที่มีใจกลางของเรื่องอยู่ที่เหมืองและโรงไฟฟ้าถ่านหิน ไม่ต่างจากคนแม่เมาะ
จังหวัดลำปางที่ทำการต่อสู้เพื่อสิทธิขั้นพื้นฐานที่จะมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวด
ล้อมที่ดีรุ่นแล้วรุ่นเล่า
ท้ายที่สุด
ไม่ว่าจินตนาการว่าด้วย "แบตเตอรี่ของอาเซียน" จะนำพาสาธารณรัฐประชาธิปไตย
ประชาชนลาวไปในทิศทางที่ดีขึ้นหรือเลวลงกับประชาชนของตน
เราต้องไม่ลืมว่าทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ของลาวนั้น
มีไว้เพื่อสร้างความมั่นคงยั่งยืนทางเศรษฐกิจวัฒนธรรมและนิเวศวิทยาของลาวใน
ระยะยาว
และเป็นตัวกำหนดความอยู่รอดจากผลกระทบที่เป็นหายนะจากการเปลี่ยนแปลงสภาพ
ภูมิอากาศโลก มิใช่มีไว้เพื่อความโลภของกลุ่มคนเพียงกลุ่มเดียว.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น