source : http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/bizweek/20120423/447756/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B5-%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%8A%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%87-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2...%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%82%E0%B8%8B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%9F%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A1.html
วันดี กุญชรยาคง
หญิงผู้โลว์โปรไฟล์ แต่ผุดโปรเจก "โซลาร์ฟาร์ม"
ในไทยที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน เป้าหมายแรกสำเร็จแล้ว
เป้าหมายถัดไปคือบุกอาเซียน
ขุมทองของนักลงทุนที่นับ
วันจะเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในไทยและต่างประเทศ ตามเมกะเทรนด์ของโลก
นั่นก็คือ "พลังงานทดแทน" (Renewable Energy)
ที่ปัจจุบันมีนักลงทุนมากมายให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในธุรกิจนี้ ฐานที่เป็น
Sun bright business
หนึ่งในนั้นคือการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์ฟาร์ม)
พลังงานหมุนเวียนที่ให้ผลตอบแทนค่อนข้างดีในระยะยาวและยังเข้ากับคอนเซปต์
พลังงานสะอาด อย่างไรก็ตามแม้จะมีผู้เล่นมากมาย แต่ "น้อยราย"
ที่จะพัฒนาธุรกิจนี้ได้อย่างมีอีโคโนมี ออฟ สเกล เพราะมักจะถอดใจจาก
"ต้นทุนการผลิต" ในปัจจุบันที่แพงลิ่ว เมื่อเทียบกับพลังงานประเภทอื่น
เป็นการลงทุนที่ไม่มีคนกล้าทำ (เท่าไหร่) !
แต่ไม่ใช่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) ภายใต้การบริหารงานของ "วันดี กุญชรยาคง"
ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่
เธอคืออดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท โซล่าร์ตรอน จำกัด(มหาชน)
ที่โบกมือลาจากตำแหน่งดังกล่าวจากปัญหาภายในซึ่งเป็นข่าวเกรียวกราว เมื่อปี
2550 หลังจากนั้นเธอเลือกที่จะเก็บตัวเงียบเป็นเวลาร่วม 2 ปี
ก่อนหวนคืนวงการ
"2 ปีนั้นมันเป็นจุดเปลี่ยนของพี่
เปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตจากคนที่เคยทำงานตั้งแต่ 6-7 โมงเช้า
พี่ก็ไปซื้อสปาทั่วกรุงเทพฯ มีสปาที่ไหนพี่ไปซื้อหมด
พี่ว่ามันถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนชีวิต คงเป็น Timing
ของมันที่เราจะถือโอกาสไปทำอย่างอื่นบ้าง ไปแสวงหาสิ่งใหม่ๆ บ้าง
เข้าห้องสมุด ไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก" วันดีเล่า
ก่อนที่จะกลับมาทำงานอย่าง "บ้าคลั่ง"
หลังจากรัฐบาลประกาศให้การสนับสนุนส่วนเพิ่มค่าไฟฟ้า (Adder)
ให้กับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน 8 บาทต่อยูนิต เมื่อปี 2551
ทำให้เธอมองเห็นโอกาสทางธุรกิจ เธอบอก
ความสำเร็จทางธุรกิจตามมาด้วยฉายาที่คนในวงการที่เรียกเธอว่าเป็น "เจ้าแม่โซลาร์ฟาร์ม" นั่นเป็นเพราะเธอคือผู้บุกเบิกการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในเชิงพาณิชย์ อย่างเป็นเรื่องเป็นราว จนเอสพีซีจีกลายเป็นผู้นำในการพัฒนาโครงการโซลาร์ฟาร์มเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่สุดแห่งแรกในประเทศไทย และภูมิภาคอาเซียน
"ตอนนี้โครงการของเราไม่ใช่แค่ Talk of the town ในประเทศ
แต่ทั่วโลกหันมามองเรา ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น
โปรเจคของเราใหญ่ที่สุดในอาเซียน ไม่มีใครใหญ่เท่าเรา"
กับแผนในการพัฒนาโครงการโซลาร์ฟาร์มจำนวน 34 แห่ง แห่งละ 6 เมกะวัตต์
รวมกำลังการผลิตกว่า 240 เมกะวัตต์ มูลค่าลงทุนรวมประมาณ 24,000 ล้านบาท
โดยโครงการทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในปี 2556 โดยในปัจจุบัน 7
โครงการได้ขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ไปแล้ว ในสัญญา
Non-firm (ไม่ถูกปรับกรณีไม่สามารถส่งไฟฟ้าได้ตามสัญญา)
และอยู่ระหว่างก่อสร้างอีก 9 โครงการ
ซึ่งคาดว่าจะจำหน่ายไฟฟ้าได้ในไตรมาสสามของปี 2555 และจะเริ่มพัฒนาอีก 18
โครงการภายในปี 2555
คิดเป็น 25% (หนึ่งในสี่) ของกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่รัฐกำหนดไว้ที่ 900 เมกะวัตต์
ส่งให้เธอกลายเป็น 1 ใน 15 นักธุรกิจหญิงเอเชียที่น่าจับตามองที่สุด ตามการจัดอันนิตยสารธุรกิจชั้นนำ อย่างฟอร์บส์ ในปี 2554 จากธุรกิจที่ดูมีอนาคตและยังเป็นเทรนด์ของโลก (Green Business)
นั่นเพราะมองเห็นความ"ไม่ธรรมดา"ของผู้หญิงที่ดูจากภายนอกเหมือนจะ"ธรรมดาเอามากๆ"อย่างเธอ
ทำไมวันดีจึงคิดไม่เหมือนชาวบ้าน ไม่เพียงหลุดวังวนแห่งปัญหาในเรื่อง
"ต้นทุนการผลิต" แบบไม่ปิดกั้นตัวเองจากข้อจำกัด เธอยังมองเห็น
"โอกาสทางธุรกิจ" ได้อย่างน่าทึ่ง
นั่นเพราะคำว่า "กลยุทธ์" คำเดียว
ทว่าใช่ว่าใครจะคิดได้ วันดีคือผู้มีประสบการณ์ในธุรกิจนี้มานานกว่า 30
ปีมีคอนเนคชั่นเพียบ
พ่วงด้วยดีกรีปริญญาโทด้านพลังงานทดแทนทำให้ฐานความรู้แน่น
แถมยังจบปริญญาตรีทางกฎหมายที่ใครก็หลอกเธอไม่ได้ง่ายๆ
"การที่คนอื่นๆ บ่นๆ ว่าการทำโซลาร์แพงๆ
แต่เรายังเดินหน้าเพราะเรามีกลยุทธ์ Best Cost -Best Design -Best Output
เราต้องออกแบบให้มีต้นทุน มีกำไรที่เหมาะสมที่ดีต่อนักลงทุน
เราเลือกราคาอุปกรณ์ ที่กำหนดไว้เลย การที่เรามีกำลังการผลิตรวม 240
เมกะวัตต์ถือว่าใหญ่มาก
ทำให้เราสามารถต่อรองกับซัพพลายเออร์เพื่อให้ได้ราคาที่ดี
ขณะเดียวกันรัฐบาลก็สนับสนุน Adder ให้กับผู้ผลิต
ซึ่งเป็นตัวช่วยที่ช่วยได้เยอะเลย" เธอบอก
ก่อนจะเปรียบเทียบให้เห็นว่า เหมือนเราจะส่งใครเข้าประกวดนางงาม
ก็ต้องไปเปรียบเทียบส่วนสูง ไปลดน้ำหนัก เพื่อให้เข้าตามสเปคของกองประกวด
"เดิมทีต้นทุนการผลิตมันอยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาทต่อกำลังการผลิต 6
เมกะวัตต์ แต่มันสูงเกินไปจะทำให้ยังไงให้ต้นทุนไม่เกิน 700 ล้านบาท
เราก็ต้องไปหาคนที่ซัพพลายอุปกรณ์ ไปแมทชิ่งทุกอย่าง ต้องไปคิดว่ากำลังผลิต
6 เมกะวัตต์ จะผลิตไฟฟ้าได้กี่ยูนิตต่อเมกะวัตต์
เพราะมันไม่เคยมีของจริงที่ใหญ่ขนาดนี้
ต้องประเมินความเข้มของแสงอาทิตย์ในไทยซึ่งมีความเข้มสุดยอดอยู่แล้ว
เพื่อหาค่าพลังงานที่จะผลิตได้ต่อยูนิต ต้องคิดต่อว่าใน 3-5
ปีค่าพลังงานจะเป็นเท่าไหร่
เพราะมันคือตัวเลขรายได้ที่จะกลับมาในระยะยาวตลอดอายุโครงการที่ 30 ปี"
พอเราเห็นว่าทำได้ ก็ต้องพิสูจน์ให้คนอื่นเห็น ด้วยการลงมือทำ
กลายเป็นโครงการโซลาร์ฟาร์มจำนวนมาก หลังสิ้นสุดโครงการในปี 2556
เธอยังมีแผนจะขยายกำลังการผลิตโซลาร์ฟาร์มล้อไปตามแผนของรัฐที่จะเพิ่มกำลัง
การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์จาก 900 เมกะวัตต์ เป็น 2,000 เมกะวัตต์
ในระยะ 10 ปี
"เราต้องมีสัดส่วน 25 % ในนั้น หรือมีกำลังการผลิตอย่างน้อย 500
เมกะวัตต์ ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า พี่รู้แล้วว่าจะลงอะไรบ้างแต่ยังบอกไม่ได้
โดยจะพุ่งเป้าไปในพื้นที่ภาคอีสานและในบางจังหวัดในภาคกลาง
เพราะชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นที่ราบสูง น้ำไม่ท่วมแน่นอน
(ทุกโครงการในปัจจุบันอยู่ภาคอีสาน)
และการพัฒนาโครงการในประเทศถือว่าเป็นแผนระยะสั้น" เธอหัวเราะ
น่าสังเกตว่า 9 โครงการโซลาร์ฟาร์มที่เปิดตัวไป
ล้วนเป็นการจับมือกับพันธมิตรไม่ซ้ำหน้า
เพื่อช่วยแบกรับความเสี่ยงทางธุรกิจ เสริมความแข็งแกร่งทางการเงิน
แต่นับจากโครงการที่ 10 เป็นต้นไป แม่เสือสาวบอกว่า จะขอทำเอง 100 %
(หัวเราะ)
มีขนมอร่อย ก็อยากเก็บไว้กินเอง !! เธอบอก
พร้อมกับความเชื่อมั่นในอนาคตธุรกิจว่า พลังงานคือ "ปัจจัยที่ 6"
ของการดำรงชีพ โดยเฉพาะเจเนอเรชั่นถัดไป จะต้องใช้พลังงานในรูปแบบใหม่ๆ
เพราะพลังงานในอดีต ได้แก่ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน กำลังจะหมดไป
นั่นหมายถึงรายได้ที่จะเข้ามาสู่ธุรกิจพลังงานทดแทน พลังงานหมุนเวียน
ไกลกว่าธุรกิจในประเทศ ในปี 2557 แม่เสือสาว
ยังมีแผนจะขยายธุรกิจเข้าในอาเซียนโดยเดินเกมใช้บริษัทในกลุ่มอย่างโซล่า
เพาเวอร์ เอ็นจิเนียริ่ง (SPE)
หยั่งเชิงเข้าไปรับงานวิศวกรรมซ่อมบำรุงให้กับโครงการโซลาร์ฟาร์มในอาเซียน
โดยเฉพาะในมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ที่เธอสนใจมาก เพื่อสำรวจตลาด
ไม่แน่ว่าเธอจะรุกเข้าไปลงทุนโครงการโซลาร์ฟาร์มในอาเซียนในภายหลังอย่าง
Slow but Sure
"ตอนนี้มันเป็นความท้าทายเพราะอยากจะพาประเทศไทยเข้าไปอาเซียน
เราจะทำยังไง จะวางแผนยังไง จะเข้าไปยังไง เราต้องมีพาร์ทเนอร์อย่างไร
วันนี้เรื่องนี้มันเป็นสิ่งใหม่ในอาเซียน
ประเทศไทยทำก่อนก็เลยเป็นที่สนใจแต่ไม่ช้าประเทศอื่นๆ ก็จะทำตาม
ถ้าเราไม่พัฒนาตัวเองเราก็จะสูญเสียความเป็นหนึ่งให้ประเทศเพื่อนบ้าน
อย่างมาเลเซีย อินโดนีเซีย เขากำลังจะประกาศโครงการออกมาเร็วๆ นี้
เพราะประเทศเขาคนเยอะ เป็นเกาะ ต้องการใช้ไฟฟ้ามาก
เขาต้องพัฒนาเพื่อให้คนของเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น"
นั่นคือเป้าหมายและกลยุทธ์ธุรกิจของเอสพีซีจี ขณะเดียวกันในส่วนของโครงสร้างองค์กร "การควบรวมกิจการ"
นับเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเติบโตก้าวกระโดด ทั้งทุนจดทะเบียน รายได้
และราคาหุ้น กลายเป็นแรงส่งการลงทุน
เป็นสปอตไลท์ทางธุรกิจที่ทำให้หลายคนจับจ้อง
ที่ผ่านมา เอสพีซีจี
ชื่อเดิมคือ บริษัท สตีล อินเตอร์เทค จำกัด (มหาชน) มีทุนจดทะเบียน 50
ล้านบาท ได้ควบรวมกิจการกับ บริษัท โซล่า เพาเวอร์ จำกัด (SPC)
ซึ่งมีทุนจดทะเบียน 450 ล้านบาท
โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอนุมัติการควบรวมกิจการเมื่อวันที่ 28
มีนาคม 2554 ส่งผลให้เอสพีซีจีมี
ทุนจดทะเบียนเพิ่มเป็น 500 ล้านบาท (แบ่งออกเป็น 500 ล้านหุ้นๆ ละ 1 บาท)
ต่อมาได้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 515 ล้านบาท ทุนจดทะเบียนที่มากขึ้น
บวกกับโครงการต่างๆ ที่เกิดขึ้น
เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ราคาหุ้นก้าวกระโดดจาก 1 บาทกว่าๆ มาเป็น 20
กว่าบาท และเคยทำราคาสูงสุดได้ถึง 26-27 บาทต่อหุ้น
ในส่วนของทรัพย์สินที่มีอยู่ 200 กว่าล้านบาท
เมื่อควบรวมกิจการทำให้มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมาเป็น 5,000 กว่าล้านบาท
หากทั้ง 34 โครงการ (หลายโครงการอยู่ระหว่างการพัฒนา) พัฒนาแล้วเสร็จจะทำให้เอสพีซีจีมีมูลค่าทรัพย์สินรวมกันกว่า 20,000 ล้านบาท รายได้ก็จะเข้ามาเฉลี่ยปีละ 4,000 ล้านบาท วันดี ฉายภาพ
หันมามองที่โครงสร้างธุรกิจ เอสพีซีจี
จะเป็นบริษัทโฮลดิ้ง โดยแบ่งเป็น 3 บริษัทย่อย ได้แก่ บริษัทโซล่า
เพาเวอร์ จำกัด (SPC) โดยบริษัทนี้จะเป็นผู้ดำเนินโครงการโซลาร์ฟาร์ม
เป็นคู่สัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ขณะที่มีบริษัทสตีล โซล่า
รูฟ จำกัด (SSR) เป็นบริษัทสนับสนุนในการผลิตหลังคาแผงโซลาร์
เช่นเดียวกับบริษัท โซล่า เพาเวอร์ เอ็นจิเนียริ่ง (SPE)
ดำเนินธุรกิจออกแบบ จัดหาอุปกรณ์ก่อสร้าง และงานบำรุงรักษาโซลาร์ฟาร์ม
จะเห็นได้ว่า
วันดีอุดช่องโหว่ในการควบคุมต้นทุนการผลิตไว้ทุกทิศทุกทาง
ด้วยการมีบริษัทผลิตหลังคาแผงโซลาร์ และงานวิศวกรรม เป็นของตัวเอง
แบบเบ็ดเสร็จ ไม่ให้ใครกินค่าหัวคิว
------------------------------------
สาวใหญ่ ผู้ "Low Profile"
มาทำความรู้จัก "วันดี กุญชรยาคง" ประธานกรรมการ และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หญิงเก่งแถวหน้าวงการโซลาร์ฟาร์มให้มากขึ้น
"น้อยคนนัก !!!" จะรู้จักตัวตนของเจ้าแม่โซลาร์ฟาร์มผู้เก็บเนื้อเก็บตัว ผู้นี้
“ดีพี่ชอบ จริงๆ แล้วการมีชีวิตที่ Low Profile
เป็นชีวิตที่มีความสุข บ้านเราก็มีผู้ใหญ่อีกหลายท่านที่ทำตัว Low Profile
ก็ประสบความสำเร็จได้เช่นกัน การเป็นแบบนี้ทำให้พี่มีชีวิตที่ง่ายขึ้น
ตั้งแต่การคิด วางแผน ทำงาน เพราะคนไม่สนใจเรามาก” เธอ บอก
เธอยังเล่าถึงหลักการดำเนินชีวิตส่วนตัวว่า
สำหรับเธอแล้วจะแบ่งภารกิจไปตามช่วงวัย ช่วงแรกเกิดจนถึง 25
ปีเป็นช่วงการเรียน พอช่วงอายุ 25-50 เป็นช่วงของการเติบโตในหน้าที่การงาน
เพราะฉะนั้นต้องทำให้เต็มที่ เหมือนเส้นกราฟชีวิตที่พุ่งสูงสุด (Peak)
หลังจากอายุ 50 ปีไปแล้ว ต้องเตรียมลง มุ่งสู่ทางสงบ
ไม่ใช่ว่าทำงานหามรุ่งหามค่ำ
แม้ว่าเธอจะกลับเข้ามาในธุรกิจนี้อีกครั้งในวัย 50 กว่า ก็ตาม
หากย้อนเวลากลับไปได้ วันดีบอกว่า เธออาจจะไม่หวนกลับมาทำธุรกิจอีก
จากการที่เป็นคนทำอะไรทำจริงจัง แต่ในเมื่อ The show must go on
ก็ต้องทำให้ดีที่สุด
จะเห็นได้ว่านอกจากเธอจะเป็นประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการในเอสพีซีจีแล้ว ยังนั่งเป็นกรรมการผู้จัดการในทุกๆ บริษัทลูก เพราะยังไม่สามารถวางมือได้
“จริงๆ พี่ไม่ได้ตั้งใจทำธุรกิจแล้ว พี่อยากส่งผ่านแล้ว
ต้องคิดถึงผู้ที่จะมารับช่วงต่อ ตอนนี้ก็รับพนักงานมาอบรมอย่างเดียว
ดูว่าคนไหนจะเป็นสตาร์ได้ ก็จะเปิดโอกาสให้เขา
คนที่จะเป็นสตาร์ได้คือคนที่ทำมากๆ คิดมากๆ สัมผัสมากๆ มันก็จะเก่ง
ถ้ามัวแต่ทำอะไรในหอคอยก็คงจะเก่งยาก คนเราจะประสบความสำเร็จได้จะต้องรู้
ต้องเห็น ในสิ่งที่เป็นจริงมากที่สุดเพราะจะทำให้เราตัดสินใจได้ถูกต้อง
ถ้าเราได้ข้อมูลผิดเราก็จะตัดสินใจผิด
เพราะฉะนั้นเราต้องมีข้อมูลให้มากที่สุด”
วันดีสะท้อนตัวตนของเธอที่เป็นคนลุย และเก็บรายละเอียด (ทุกเม็ด)
เธอยังยกตัวอย่างว่า งานการเงิน งานเทคนิค จะใช้เทคโนโลยีอะไร ต้องรู้
เหมือนจะซื้อของสักอย่าง ก็ต้องบินไปดูเอง ไม่ใช่ดูแค่ในแค็ตตาล็อก
ดูว่าโรงงานเขามีอายุกี่ปีแล้ว ผลิตอะไร มีประสบการณ์อะไรบ้าง
เราอาจจะเสียอะไรบ้างนิดๆ หน่อยๆ แต่การที่เราจะซื้อของเป็น 100 ล้านบาท
มันต้องทำแบบนี้
ในวันที่วันดีกำลังมองหาคนที่ใช่ !
สิ่งที่ทำไปพร้อมกันคือการวางระบบภายในองค์กรให้ดี
เพราะเมื่อไรที่เธอลงจากหลังเสือ กลายเป็นคนถือแซ่
ระบบจากรันธุรกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ด้วยตัวมันเอง
"งานของพี่จะกระจายหมดเป็นจิ๊กซอว์
แม้คนนี้ล้มเหลวก็ยังมีคนนี้ซัพพอร์ตเสมอ คนนี้ไม่อยู่ก็ยังมีคนนี้รับมือ
มันคือการบริหารความเสี่ยง เราต้องสร้างระบบให้พร้อม แล้วหาคนมารับช่วงต่อ"
เธอยังเหมือนคนอื่นๆ ที่อยากได้ซีอีโอที่อยู่กับองค์กรนานๆ
เป็นซีอีโอคนเก่ง ประสบความสำเร็จเหมือนกับซีอีโอหลายๆ คนในโลกนี้ใบนี้
แม้จะไม่ดังเท่าคนพวกนี้ แต่ขอให้มีลูกบ้า (งาน)
"อย่างสตีฟ จ๊อบส์ มาตายตอนดัง เราอยากให้เขาดังตอนที่ยังไม่ตาย หลายๆ
สิ่งที่เราทำต้องคิดอยู่ตลอดเวลา พี่ชอบอะไรที่มัน Move go on ไปเรื่อยๆ
สิ่งที่เราทำให้วันนี้มันจะเป็นผู้นำให้กับการเติบโตของเจนเนอเรชั่นถัดไป
ยากมากนะกว่าจะขึ้นมาเป็นซีอีโอในวันนี้มันเหมือนพิระมิด
เพราะในองค์กรมีคนตั้งเยอะ คนที่เป็นท็อปขององค์กรได้ต้องครีเอทจริงๆ
และเขาต้องมีความเสียสละสุดๆ"
สิ่งที่เราต้องทำคือ การรักษาความเป็นลีดเดอร์ขององค์กรให้ได้ และต้องเข้าไปสู่เป้าหมายที่เรากำหนดให้ได้ เธอบอก
“พี่พยายามผลักคนอื่นๆ ให้ไปอยู่ในที่สูงๆ
อย่างการทำงานทุกวันมันจะมีการสนทนา การประชุม
สังเกตเลยว่าถ้ามีผู้นำที่ไหนคนนั้นจะต้องนำแล้วและต้องปิดการสนทนานั้น
เพราะพวกนี้ไม่ยอมให้เสียเวลาไปเปล่าๆ
พี่ไม่วางแผนตัวเองนะว่าจะเป็นซีอีโออีก 20 ปีข้างหน้า
พี่มองตัวเองเป็นซีอีโออีกไม่เกิน 2 ปีแล้วไปนั่งเป็นประธานอย่างเดียว”
ฟังเธอเล่าแล้วรู้สึกว่าเธอเป็นนักบริหารที่สมบูรณ์แบบ (Perfectionist)
อยากรู้ว่า เธอเคยมีความผิดพลาดในชีวิตหรือไม่?
วันดีเว้นจังหวะก่อนจะตอบแบบติดตลกว่า เคยทำผิดพลาดมาในชีวิต
ก็อย่างเวลาอยากกินอะไรก็ไม่ได้กิน (หัวเราะ)
ก่อนจะบอกว่าถ้าสิ่งใดที่ไม่อยากพลาดก็ต้องเก็บรายละเอียดเยอะๆ เธอย้ำ
"อย่างตอนนี้พี่งานหนักมากต้องอ่านเยอะ
บางวันไม่ได้นอนเลยก็ทำให้ร่างกายเราไม่สมดุล
การวางแผนที่ดีจะทำให้เราผิดพลาดน้อยลง
แต่คนที่ไม่ผิดพลาดเลยคือคนที่ไม่ทำงาน" เธอให้แง่คิด
ช่วงที่เป็นซีอีโออยู่โซล่าตรอน เธอยอมรับว่า มีช่วงเวลาวิกฤติ
แต่เธอเตือนตัวเองเสมอว่า ความสุขความทุกข์มันเป็นเส้นด้าย
ถ้าก้าวข้ามความทุกข์ได้ก็จะพบความสุข
ที่สำคัญอย่าไปตั้งความหวังกับใครว่าจะมาดีกับ (เรา) อย่างนั้นอย่างนี้
เธอบอก
"เราต้องเชื่อว่าเราทำได้ ต้องคิดบวกอย่าไปคิดแง่ลบ เราคือซีอีโอเราคือผู้ตัดสินใจ จะให้ใครมาถือเส้นด้ายแทนเราไม่ได้"
หลังรีไทร์ตัวเองจากหน้าที่การงานในอีกไม่กี่ปีจากนี้ วันดีบอกว่า
อยากทำงานด้านภูมิสถาปัตย์ (Landscape)
เพราะเห็นว่าน่าจะเป็นงานที่สนุกได้มองทั้งภาพรวม และลงลึกในรายละเอียด
จะว่าไปก็ไม่ต่างจากงานบริหารองค์กร
"มันเป็นงานที่สนุกนะ คือพี่เคยเป็นแลนด์ ดีเวลล็อปเปอร์
แต่ไม่เคยทำแลนด์สเคปมาก่อนเลย จ้างเขาหมด
งานนี้มันต้องคิดหลายเรื่องคิดเรื่องความโค้ง ความสูง นูน คิดรั้วรูปแบบ
ปรับปรุงตกแต่งตลอดเวลาจะเอาต้นไม้อะไร ลงสีอะไร ใบไม้จะออกมาฤดูไหน
ต้องรู้จักต้นไม้ มันเป็นโลกที่อยากไป ว่างๆ ก็จะไปเดินคลอง 15
ไปดูต้นไม้" อีกบทสนทนาที่แสดงตัวตนของผู้หญิงที่ชื่อวันดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น