โดย บัณรส บัวคลี่
http://www.manager.co.th/Columnist/ViewNews.aspx?NewsID=9550000041539
คนไทยเพิ่งรู้จักน้ำมันที่มาจากปิโตรเลียมในสมัยรัชกาลที่ 5 พร้อมๆ
กับการนำเข้ารถยนต์ในยุคแรก
แต่น้ำมันที่มีบทบาทในวิถีชีวิตประจำวันในยุคนั้นสืบต่อมาอีกหลายสิบปีกลับ
ไม่ใช่เบนซิน ดีเซลหรือน้ำมันเตา
หากแต่เป็นน้ำมันก๊าดที่ใช้ได้เอนกประสงค์กว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้แสง
สว่างในยามค่ำคืน
แม้มนุษย์จะรู้จักและใช้ประโยชน์จากน้ำมันดิบมาตั้งแต่สมัยโบราณแต่โลกก็
เพิ่งจะรู้จักอุตสาหกรรมน้ำมัน
ที่หมายถึงการขุดเจาะเอาน้ำมันดิบมาเข้ากระบวนการกลั่นในศตวรรษที่ผ่านมานี่
เอง การขุดเจาะน้ำมันเพื่อการพาณิชย์ครั้งแรกเกิดในโปแลนด์ เมื่อปีค.ศ.
1853 (2396)* และขยายตัวอย่างรวดเร็วในต้นศตวรรษที่ 20 (*วิกิพีเดีย)
การขยายตัวของมันสอดคล้องกับการค้นพบและพัฒนากระบวนการกลั่นน้ำมันดิบซึ่ง
เริ่มครั้งแรกเมื่อปี 1851(2394)
ที่สก๊อตแลนด์**และเริ่มขยายตัวในยุโรปโดยเฉพาะหลังจากการประดิษฐ์ตะเกียง
น้ำมันก๊าด( Kerosene lamp) ขึ้นมาใช้ (**วิกิพีเดีย)
การขุดเจาะน้ำมันและอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันของโลกยุคนี้เริ่มอย่าง
จริงจังในต้นศตวรรษที่ 20 คือประมาณค.ศ.1860 (ตรงกับพ.ศ.2403-รัชกาลที่4)
แม้สยามจะไม่ได้ตกเป็นประเทศอาณานิคมเหมือนกับอีกหลายๆ ประเทศ
แต่ทว่าโลกทั้งใบในขณะนั้นอยู่ในยุคอาณานิคมอันเป็นผลพวงมาจากเทคโนโลยีดารา
ศาสตร์และการเดินเรือผนวกกับดินปืนและการปฏิวัติอุตสาหกรรม
ดังนั้นโลกที่สามจึงเป็นเป้าหมายของการกอบโกยทรัพยากรแร่ธาตุวัตถุดิบและ
เครื่องอุปโภคบริโภคไปยังตะวันตก
ขณะเดียวกันโลกที่สามก็มีสถานะเป็นตลาดรองรับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและ
อุตสาหกรรมของยุโรปพร้อมกันไป
สยามก็เป็นประเทศแรกๆ
ที่นำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปโดยเฉพาะน้ำมันก๊าดมาใช้
และเริ่มนำเข้ากิจการที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันมากขึ้นๆ เช่น โรงไฟฟ้าและรถราง
นำเข้ารถยนต์ และมีตะเกียงน้ำมันก๊าดใช้แพร่หลายในยุคต่อมา
แม้สยามจะเริ่มโครงการสำรวจบ่อน้ำมันที่ฝาง โดยกรมพระกำแพงเพชรฯ
กรมรถไฟหลวงเมื่อพ.ศ.2464 (1921)
แต่ก็ไม่คืบหน้านักเพิ่งจะมาขุดเจาะนำมาใช้ได้จริงในช่วงหลังสงครามโลกครั้ง
ที่สอง
ในมิติของการพลังงานสถานะของสยามจึงเป็นประเทศปลายทางของอุตสาหกรรมน้ำมัน
ที่กำลังเริ่มเติบโตขึ้นทั้งในยุโรปและอเมริกา
เว็บไซต์ของบริษัทเชลล์ (ประเทศไทย)จำกัด(
http://www.shell.co.th/home/content/tha-th/aboutshell/who_we_are/history/country/
) ระบุว่าการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปของไทยเกิดเมื่อพ.ศ.2435
(ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ 5)
โดยส่วนใหญ่เป็นน้ำมันก๊าดประวัติศาสตร์ฉบับดังกล่าวทำให้เรารู้ว่า เชลล์
เป็นตัวแบบของบริษัทน้ำมันตะวันตกยุคแรก ๆ ที่
ส่งออกพลังงานชนิดใหม่ออกไปสู่โลกที่สามถึงขนาดที่มีเรือบรรทุกน้ำมันสำเร็จ
รูปไว้ส่งขายโดยเฉพาะ จากนั้นก็พัฒนาสินค้าเป็น “น้ำมันก๊าดตรามงกุฎ”
บรรจุปี๊บที่คนไทยยุคก่อนรู้จักคุ้นเคยกันดี
จัดจำหน่ายผ่านบริษัทตัวแทนคือบริษัท บอร์เนียว จำกัด
และต่อมาไม่นานกลุ่มเชลล์จึงค่อยตั้งบริษัทเอเชียติคปิโตรเลียม (สยาม)
จำกัด เป็นตัวแทนจำหน่ายเองพัฒนา “น้ำมันตราหอย” ขึ้นมาอีกแบรนด์หนึ่ง
เช่นกันกับทางฝั่งอเมริกาซึ่งมีการพัฒนาอุตสาหกรรมขุดเจาะและโรงกลั่นน้ำมัน
ไล่เรี่ยกับทางยุโรป
และมีการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปเพื่อค้าขายกับสยามในสมัยรัชกาลที่ 5
โดยกลุ่มธุรกิจน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกที่ชื่อว่า Exxon Mobil
เจ้าของตราสินค้า Exxon Esso และ Mobil ที่คนไทยรู้จักดี เว็บไซต์ของ
www.esso.co.th บอกว่าบริษัทในกลุ่ม คือบริษัทสแตนดาร์ดออยล์แห่ง
นิวยอร์กได้เริ่มดำเนินการในประเทศไทยครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2437
ในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 แต่นั่นก็เป็นแค่ตัวแทนจำหน่ายเล็กๆ
ที่มียอดขายไม่มากนักตามสภาพของยุคสมัย
สยามประเทศค่อยๆ รู้จักสิ่งที่เรียกว่าน้ำมันสำเร็จรูปในมากขึ้นๆ
ตามลำดับที่มีการขยายตัวในการใช้
ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองตอนนั้นไม่เฉพาะเรือยนต์เท่านั้น
รถยนต์ก็เริ่มมีมากขึ้นบนท้องถนนทั้งแบบเบนเซินและดีเซล
คนไทยในชนบทใช้ตะเกียงเจ้าพายุซึ่งต้องใช้น้ำมันก๊าดเป็นเชื้อเพลิง
เริ่มมีการเก็บสต๊อก ขนส่งและจัดจำหน่ายน้ำมันไปยังต่างจังหวัดนอกกรุงเทพฯ
ออกไป จึงได้มีการตราพรบ.ว่าด้วยการเก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิง 2474
(ปลายสมัยรัชกาลที่ 7) ว่าด้วยการออกใบอนุญาตสถานที่จัดเก็บ จัดจำหน่าย
นี่เป็นครั้งแรกที่มีการใช้ศัพท์ “น้ำมันเชื้อเพลิง”
อย่างเป็นทางการเพื่อใช้เรียกผลิตภัณฑ์จากไฮโดรคาร์บอนจัดแบ่งน้ำมันเชื้อ
เพลิงเป็น 3 ชนิด (สะกดตามต้นฉบับ) คือ 1.ชะนิดไม่น่ากลัวอันตราย
ที่มีขั้นเกิดไฟสูงกว่า 66 ดีกรีเซนติกราดขึ้นไป 2.ชะนิดธรรมดา หมายว่า
ที่มีขั้นเกิดไฟในระวางตั้งแต่ 66 ลงมาถึง 23 ดีกรีเซนติกราด และ 3.
ชะนิดน่ากลัวอันตราย หมายความว่าที่มีขั้นเกิดไฟต่ำกว่า 23 ดีกรีเซนติกราด
พรบ.ว่าด้วยการเก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิง 2474
คือการเริ่มเข้ามาควบคุมกำกับดูแลกิจกรรมเกี่ยวข้องกับน้ำมันเชื้อเพลิงและ
ปิโตรเลียมของไทยในยุคแรก กำหนดปริมาณที่ต้องขออนุญาตเก็บรักษา
กำหนดพื้นที่เหมาะสมสำหรับจัดเก็บให้ห่างไกลผู้คน
แม้กระทั่งการขนย้ายต้องมีสัญลักษณ์และป้าย “ไวไฟ” ติดไว้
(จนถึงวันนี้คำว่า-ไวไฟ-ที่ติดไว้ข้างรถขนน้ำมันได้ใช้มาเกิน 80 ปีแล้ว)
แต่กฏหมายดังกล่าวก็แค่การกำกับป้องกันมิให้เกิดอันตรายต่อผู้คนและ
ทรัพย์สินสาธารณะเป็นหลักใหญแต่ไม่ได้คลุมไปถึงราคา
น้ำมันเชื้อเพลิงจึงถูกบริษัทฝรั่งที่นำเข้า 2 รายใหญ่จากฝั่งอเมริกา
และจากฝั่งยุโรปรวมหัวกันกำหนดราคาขาย
เอกสารประวัตินโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจและการเปิดเสรีด้านพลังงาน โครงการศึกษาวิจัยและจัดทำประวัติการพัฒนาพลังงาน ของประเทศไทย :
สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (มรกต ลิ้มตระกูล – เรียบเรียง เทียนไชย
จงพีร์เพียร – บรรณาธิการ)
ได้กล่าวถึงการที่ไทยถูกเอาเปรียบโดยรวมหัวกันกำหนดราคาของบริษัทต่างชาติ
ช่วงดังกล่าวว่า
“ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิ
ราชมาเป็นระบอบประชาธิปไตยเมื่อปี พ.ศ. 2475
ประเทศไทยต้องสั่งซื้อน้ำมันจากต่างประเทศ
ผ่านบริษัทต่างประเทศซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายอยู่ในประเทศไทย ในขณะนั้นมีอยู่
2 บริษัท คือ บริษัทแสตนดาร์ดแวคคัมออยล์ของอเมริกา (ปัจจุบัน คือ
บริษัทเอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด)
และบริษัทรอยัลดัทช์ปิโตรเลียมของอังกฤษกับฮอลแลนด์ (ปัจจุบัน คือ
บริษัทเชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด)
บริษัททั้งสองมีสัญญาส่วนแบ่งการตลาดต่อกัน
คือบริษัทของอเมริกามีส่วนแบ่งการตลาดในประเทศจีนและญี่ปุ่นร้อยละ 80
บริษัทของอังกฤษกับฮอลแลนด์มีส่วนแบ่งร้อยละ 20
แต่บริษัทอังกฤษกับฮอลแลนด์มีส่วนแบ่งในประเทศแถบอินโดจีน คือ ไทย
แหลมมลายู พม่า และอินเดีย ร้อยละ 80 ส่วนบริษัทของอเมริกามีส่วนแบ่งร้อยละ
20 บริษัททั้งสองจึงรักษาระดับราคาเพื่อให้เป็นไปตามสัญญาที่ตกลงกันไว้
ทำให้บริษัทของคนจีน หรือของคนไทยที่ตั้งขึ้นต้องล้มไปเพราะ
ไม่สามารถสู้สองบริษัทดังกล่าวนี้ได้ ดังนั้น
ราคาน้ำมันในประเทศไทยจึงถูกผูกขาดโดยบริษัท
ดังกล่าวที่จะตั้งราคาขายเท่าใด ทางราชการและประชาชนก็ต้องซื้อในราคานั้น
ทำให้ราคาน้ำมันในประเทศในช่วงนั้นแพงมากเมื่อเทียบกับราคาน้ำมันในตลาดโลก”
(เรื่องราวการผูกขาดของ Standard Vacuum Oil Company
ของสหรัฐอเมริกากับ Royal Dutch Petroleum
รวมหัวกันกำหนดราคาในเอเชียถูกกล่าวถึงในหนังสือ Japanese Industrial Governance: Protectionism and licensing state เขียนโดย Yul Sohn
สำนักพิมพ์ Routledge ได้กล่าวไว้ในบทที่ 4 Politics for
protection-Petroleum
ถึงบทบาทการผูกขาดรวมหัวกันของสองบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ดังกล่าวต่อญี่ปุ่น
ในต้นศตวรรษที่ 19และการพยายามปลดแอกของญี่ปุ่นจากการครอบงำดังกล่าว)
บทเรียนของบรรพชน: จะปลดแอกฝรั่ง
ในยุคนั้นประเทศสยามไม่เคยมีจินตนาการนึกถึงการเป็นผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง
เอง เพราะบ่อน้ำมันฝางที่มีก็ยังไม่คืบหน้าใดๆ ในการขุดเจาะ
เทคโนโลยีการกลั่นก็ไม่มีจึงต้องอาศัยการ “นำเข้า”
น้ำมันสำเร็จรูปมาจำหน่ายปลีก ซึ่งมีบริษัทต่างชาติ 2 เจ้าคือ กลุ่มเอสโซ่
กับ กลุ่มเชลล์ รวมหัวกันขาย
จึงเป็นโครงสร้างที่ขาดความมั่นคงเพราะในยุคนั้น
น้ำมันเริ่มกลายเป็นปัจจัยสำคัญไม่เฉพาะต่อด้านเศรษฐกิจหรือการคมนาคมเท่า
นั้นหากยังมีความสำคัญต่อการทหารและความมั่นคงด้วย
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475
รัฐบาลในยุคนั้นมีหลักการสำคัญประการหนึ่งคือหลักประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ
เริ่มมีสำนึกความเป็นชาตินิยม
รวมถึงเห็นความสำคัญของน้ำมันในฐานะยุทธปัจจัยจึงได้ตรา พ.ร.บ.น้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2481 ที่มีเนื้อหาก้าวหน้าไปจากพรบ.ว่าด้วยการเก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิง 2474 ไปไกลโขเพราะมุ่งปลดแอกการผูกขาดราคาของบริษัทต่างชาติ
โดยระบุในมาตรา 14
เรื่องการกำหนดราคาให้รัฐมนตรี(ว่าการกระทรวงเศรษฐการ)กำหนดราคาขายน้ำมัน
เชื้อเพลิงทั้งส่งและปลีกรวมทั้งขายเฉพาะท้องถิ่นไว้ด้วย
และยังกำหนดให้บริษัทนำเข้าสำรองน้ำมันไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของที่ได้รับ
อนุญาต (มาตรา11)
กฎหมายฉบับนี้จึง“เป็นเรื่อง” ขึ้นมาเพราะทั้งสแตนดาร์ดวาคัมออยล์
(เอสโซ่) และรอยัลดัทช์ปิโตรเลียม (เชลล์) รับไม่ได้กับเงื่อนไขชาตินิยม
ไม่เสรีอะไรเช่นนี้ (แต่การรวมหัวกำหนดราคาถือว่าเป็นเสรี-ฮา)
จึงถอนตัวจากตลาดเมืองไทยไปในเวลาต่อมา
มองย้อนกลับไปเมื่อครั้งนั้น (2481) จะพบว่า
รัฐบาลคณะราษฏร์ที่มีหลวงพิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี
และหลวงประดิษฐ์มนูธรรม ปรีดี พนมยงค์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
เริ่มได้กลิ่นสงครามโลกครั้งใหม่และมีการเตรียมความพร้อมหลายประการเพื่อรับ
มือเช่น การสำรองทองคำแท่งแทนเงินตราต่างประเทศ
รวมไปถึงความสนิทสนมกับทางญี่ปุ่นมากขึ้นเป็นลำดับโดยจนกระทั่งช่วงเกิด
สงครามอินโดจีน (พิพาทไทย-ฝรั่งเศสที่มาของอนุสาวรีย์ชัยสมรภูม
พ.ศ.2483-84)
เอกสารประวัตินโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจและการเปิดเสรีด้านพลังงาน
สะท้อนออกมาได้ชัดเจนถึงความพยายามของคนในยุคก่อนที่พยายามจะปลดแอกตนเองจาก
การผูกขาดครอบงำ
พยายามจะยืนบนขาตัวเองในเรื่องการพลังงานให้จงได้เพราะรู้ดีว่ากิจการด้าน
นี้มีความสำคัญโยงไปถึงความมั่นคงแห่งรัฐด้วย
“หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองรัฐบาลยุคนั้นให้ความสำคัญกับการจัดหา
น้ำมันเชื้อเพลิง เนื่องจากเห็นว่าเป็นยุทธปัจจัยที่สำคัญของประเทศ
จึงมอบหมายให้ นายวนิช ปานะนนท์ (คณะราษฏรสายพลเรือน)
เป็นผู้ดำเนินการจัดการเรื่องน้ำมันเชื้อเพลิง ...จากนั้น ได้ตั้ง"แผนกเชื้อเพลิง"
ขึ้นในกระทรวงกลาโหม ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2476
และกระทรวงกลาโหมได้มอบหมายให้นายวนิช ปานะนนท์
เป็นผู้ดำเนินการสั่งซื้อน้ำมันจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่าย
ให้แก่ส่วนราชการ
ทำให้สามารถซื้อน้ำมันได้ถูกลงและประเทศสามารถประหยัดเงินได้ประมาณปีละแสน
เศษและต่อมาคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ยกฐานะแผนกเชื้อเพลิงขึ้นเป็น "กรมเชื้อเพลิง" เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2480”
ก็น่าสังเกตว่าอธิบดีกรมเชื้อเพลิงคือ นายวนิช ปานะนนท์
ผู้ซึ่งดูแลเรื่องน้ำมันมาตั้งแต่สมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
และต่อมาเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งสองนายวนิชคนดังกล่าวก็ถูกมองว่าสนิทสนมกับ
ฝ่ายญี่ปุ่นมากเป็นพิเศษ การตราพรบ.น้ำมันเชื้อเพลิง 2481
เพื่อดัดหลังบริษัทต่างชาติสร้างความมั่นคงทางพลังงานสำรองให้กับประเทศก็มี
ผลมาจากการดูงานที่ประเทศญี่ปุ่นของตัวแทนรัฐบาลไทย
ขณะที่ในยุคนั้นญี่ปุ่นมีนโยบายชัดเจนเรื่องความเป็นจักรวรรดินิยมปลดแอกการ
เอาเปรียบของต่างชาติ
และที่สำคัญญี่ปุ่นเป็นชาติที่เผชิญกับการเอาเปรียบรวมหัวกำหนดราคาของ
บริษัทต่างชาติมาก่อน
พัฒนาการต่อเนื่องหลังจากที่ออกกฎหมายน้ำมันเชื้อเพลิงแล้วรัฐบาลยุค
นั้นยังได้จัดตั้งโรงกลั่นน้ำมันแห่งแรกของประเทศ มีกำลังการกลั่น 1,000
บาร์เรล/วัน
ตั้งอยู่ที่ช่องนนทรี...เป้าหมายก็เพื่อหยั่งขายืนได้ด้วยตนเองไม่ต้องยืม
จมูกฝรั่งหายใจ
แต่ก็ไม่วายที่จะเกิดภาวะขาดแคลนน้ำมันเพราะหลายปัจจัยแวดล้อมโดยเฉพาะเกิด
สงครามในยุโรปจนรัฐบาลพิบูลสงครามต้องตราพรบ.ปันส่วนน้ำมันเชื้อเพลิง 2483
ขึ้นมาบังคับใช้ ประชาชนจะซื้อต้องมีใบคำร้อง (ถ้าเพื่อใช้เองใบละ 5 สตางค์
ถ้ายื่นคำร้องเพื่อขายใบละ 10 สตางค์)
และยื่นใบคำร้องเสร็จแล้วจะได้ใบอนุญาตซื้อน้ำมันเชื้อเพลิง
ต้องจ่ายค่าใบอนุญาต 20 สตางค์ แต่ถ้าเป็นใบอนุญาตขายจ่ายใบละ 1 บาท)
พรบ.ปันส่วนน้ำมันถูกใช้ยาวนานจากพ.ศ. 2483
มาตลอดจนถึงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ทางหนึ่งสะท้อนความเป็นปกติที่ยุคสงครามทุกอย่างต้องขาดแคลน
แต่อีกทางหนึ่งกลับสะท้อนถึงความมั่นคงของชาติที่ไม่มีแหล่งน้ำมันเป็นของตน
เองต้องพึ่งพาการนำเข้าเป็นหลัก
และคงจะมีผลต่อการใช้ชีวิตของประชาชนอยู่ไม่น้อยดังปรากฏในกระทู้ถามที่
28/2485 ของส.ส.จังหวัดระยอง นายเสกล เจตสมมา
ต่อการปันส่วนน้ำมันที่ดูเหมือนไม่เท่าเทียมระหว่างผู้มีรถยนต์ส่วนตัวกับ
ประชาชนธรรมดาว่า 1.หากงดการปันให้กับรถยนต์เอกชนจะได้หรือไม่ ? และ
2.ตัดการจ่ายน้ำมันให้รถส่วนตัวมาเพิ่มให้รถยนต์โดยสารจะได้หรือไม่ ?
ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (จอมพลป.ควบตำแหน่งนายกฯ กลาโหม
และต่างประเทศในยุคสงคราม) ได้ลุกขึ้นตอบว่า ทำไม่ได้
เพราะที่คณะกรรมการปันให้รถส่วนตัวเดือนละ 10
ลิตรถือว่าน้อยอยู่แล้วเผื่อกรณีฉุกเฉินและการเดินเครื่องยนต์ไม่ให้รถเสีย
หาย ส่วนการปันให้กับรถโดยสารเพิ่ม
ตอบว่าถ้างดกลุ่มเอกชนมาปันให้รถโดยสารจะเพิ่มได้ไม่มาก ยังไม่คุ้มที่จะทำ
จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่สองจบลงพร้อมกับการพ่ายแพ้ของญี่ปุ่น 2
ตัวแทนบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ค่ายยุโรป
และอเมริกาคือเชลล์และเอสโซ่เดินทางมาพร้อมกับเจ้าหน้าที่สหประชาชาติ
เหตุการณ์ตรงขุดนี้เอกสาร
“ประวัตินโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจและการเปิดเสรีด้านพลังงาน”
ระบุว่าผู้บริหารของบริษัทน้ำมันดังกล่าวมีสถานะเป็น
“เป็นเจ้าหน้าที่น้ำมันเชื้อเพลิงของสหประชาชาติ”
ทำให้นึกถึงบริษัทน้ำมันเครือข่ายจอร์จ บุช-ดิก เชนีย์
เดินทางเข้าอิรักพร้อมกับกองทหารเพื่อทำมาหากินในนามของผู้รับชัยชนะ
เช่นเดียวกันเลย...เชลล์และเอสโซ่ยื่นข้อเสนอถึงรัฐบาลไทยให้ปลดพันธนาการพร
บ.น้ำมันเชื้อเพลิง 2481 ที่ควบคุมผู้นำเข้าเข้มงวด
บังคับสำรองน้ำมันและบังคับกำหนดราคาขาย
ในที่สุดรัฐบาลไทยในยุคนั้นก็ต้องยอมตามคำขอของบริษัทน้ำมันตะวันตก
ที่เข้ามาพร้อมกับผู้ชนะคือกองกำลังทหารสหประชาชาติในนามของการเรียกร้องการ
ค้าเสรี
1 เมษายน 2489
รัฐบาลไทยได้ออกพระราชบัญญัติยกเลิกกฎหมายว่าด้วยน้ำมันเชื้อเพลิง
มีเนื้อหาแค่ 3 มาตรา ผู้รับสนองพระบรมราชโองการคือ นายปรีดี พนมยงค์
นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น
เอกสาร
“ประวัติศาสตร์การพลังงานไทยเอกสารนโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจและการเปิด
เสรีด้านพลังงานโครงการศึกษาวิจัยและจัดทำประวัติการพัฒนาพลังงาน
:สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน” (ที่ผู้เขียนใช้อ้างอิงบ่อยครั้ง)
มีความคลาดเคลื่อนเล็กน้อยในจุดนี้ เพราะระบุว่า
การยกเลิกกฎหมายเกิดในสมัยนายควง อภัยวงศ์
เป็นนายกรัฐมนตรีตามปรากฏที่เขียนว่า
“นาย เจ.เอ.อีแวน ผู้ช่วยผู้จัดการบริษัทเชลล์แห่งประเทศไทย
จำกัด และนายอี.พี.เจ. ผู้จัดการบริษัทแสตนดาร์ดแวคคัมออยล์ จำกัด
เป็นเจ้าหน้าที่น้ำมันเชื้อเพลิงของสหประชาชาติร่วมเดินทางมาด้วย
และได้เข้าพบนายกรัฐมนตรี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช
เพื่อเจรจาเรื่องการค้าน้ำมันเสรี จนมาถึงปี พ.ศ. 2489 สมัยที่นายควง
อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี
บริษัทน้ำมันต่างชาติได้ขอเข้ามาทำการค้าในประเทศและขอให้รัฐบาลยกเลิกพระ
ราชบัญญัติ น้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2481
โดยอ้างว่าไม่เป็นการค้าเสรีในที่สุดก็มีการตกลงยกเลิกพระราชบัญญัติดัง
กล่าว”
เพราะข้อเท็จจริงที่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษาระบุว่าผู้ลงนามรับสนอง
พระบรมราชโองการคือ นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งดำรงตำแหน่งต่อจากนายควง อภัยวงศ์
ที่อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแค่ระยะสั้นๆ ประมาณ 3 เดือนเท่านั้น
(จุดตรงนี้น่าที่สนพ.น่าจะปรับแก้ต่อไป)
โดยที่สุดแล้ว
บริษัทน้ำมันตะวันตกอาศัยจังหวะที่ฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นผู้ชนะสงครามกลับเข้า
มาสู่ตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงและกดดันรัฐบาลไทยให้ยกเลิกกฎหมายควบคุมผู้นำเข้า
ควบคุมราคาจำหน่าย (ส่ง ปลีก และพื้นที่เฉพาะ)
ทำให้รัฐบาลต้องหันไปใช้กฎหมายว่าด้วยการป้องกันการค้ากำไรเกินควรมาควบคุม
ราคาขายปลีกตามต่างจังหวัดแทน
ซึ่งเนื้อแท้ก็คือการควบคุมคนไทยที่อยู่ปลายทางของสินค้าในฐานะผู้ค้า
ปลีกรายย่อย ไม่สามารถเข้าไปควบคุมบริษัทฝรั่งผู้นำเข้า
ผู้เก็บกักสำรองน้ำมันดังที่เคยทำมา
ประวัติศาสตร์น้ำมันเชื้อเพลิงในยุคต้นหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองจนถึงยุค
ที่ประเทศไทยเริ่มค้นพบหลุมก๊าซธรรมชาติสมัยพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
ประมาณพ.ศ. 2524
จึงเป็นช่วงเวลาของบริษัทน้ำมันต่างชาติมีบทบาทและอิทธิพลครอบงำตลาด
ขณะที่รัฐบาลไทยแต่ละยุคก็พยายามจะดิ้นรนขยับขยายเพิ่มความมั่นคงด้าน
พลังงานเชื้อเพลิงไปทีละขั้นทีละเล็กละน้อย ใช้เวลาร่วม 50
ปีกว่าที่กิจการสัญชาติไทยจะมีบทบาทและอิทธิพลครอบตลาดบนพื้นฐานของการค้นพบ
แหล่งก๊าซและปิโตรเลียมจำนวนมากบนผืนแผ่นดินไทย
แต่น่าเสียดายที่กิจการรัฐวิสาหกิจสัญชาติไทยกลับกดขี่ขูดรีดเสียยิ่งกว่ายุคฝรั่งครอบงำ !
(มีต่อตอนต่อไป)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น