โดย บัณรส บัวคลี่
http://www.manager.co.th/Columnist/ViewNews.aspx?NewsID=9550000034833
ส.ว.คำนูณ
สิทธิสมานแสดงเจตนารมณ์ว่าจะผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญนิยามให้ปิโตรเลียมและ
แร่เป็นทรัพยากรของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ
การจัดสรรรวมทั้งบริหารจัดการต้องกระทำโดยองค์กรอิสระที่มีภาคประชาชนเข้า
ร่วมด้วย
ไม่ง่ายเลยครับ !
การผลักดันของคุณคำนูณยังมีเส้นทางอยู่อีกไกลเพราะตอนนี้ยังตั้งสสร.เลย
และที่สำคัญไม่รู้เขาจะเอาด้วยหรือเปล่า
ยังไงเสียสสร.ชุดนี้มันก็คงถูกเสกให้ยกมือตามผู้กำกับจากฝ่ายการเมืองอยู่ดี
การแก้นิยามดังกล่าวมีผลโดยตรงกับ “อำนาจและผลประโยชน์”
ของเทคโนแครตและนักการเมืองโดยตรงโอกาสที่
“พวกเขา”จะบรรจุและผ่านประเด็นนี้เหมือนกับเมื่อครั้ง สสร.1
นิยามคลื่นกระจายเสียงให้เป็นสาธารณะคงเป็นไปได้ค่อนข้างต่ำ
ยกเว้นประชาชนจะเรียกร้องเรื่องนี้เป็นกระแสใหญ่ขึ้นมา
ข้อเสนอของคุณคำนูณครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ลึกไปลงไปถึงระดับโครง
สร้างของอุตสาหกรรมปิโตรเลียม
และไม่ได้เกินเลยนักหากจะบอกว่านี่เป็นข้อเสนอเพื่อ “ปฏิรูปการปิโตรเลียม”
และทรัพยากรแร่ธาตุของประเทศไทย
ปมที่เป็นหัวใจของข้อเสนอนี้อยู่ที่
“คำนิยามใหม่”ที่จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงใน 3
ประเด็นกระบวนการและวิธีปฏิบัติของรัฐไทยที่สำคัญคือ 1-/
ความเป็นเจ้าของทรัพยากรที่ชัดเจนขึ้น 2-/
การจัดการส่วนแบ่งผลประโยชน์แบบใหม่ที่ไม่ใช่กลไกแบบปัจจุบันและ 3-/
กระบวนการจัดการอุตสาหกรรมปิโตรเลียมที่วางอยู่บนฐานประโยชน์ส่วนรวมของรัฐ
และประชาชนส่วนใหญ่ (ไม่ใช่ตกในมือนักการเมืองและขุนนางพลังงานเช่นทุกวัน)
แน่นอนครับข้อเสนอแบบนี้ย่อมนำมาสู่การวิวาทะถกเถียง
เช่นอาจมีผู้โต้ว่าแล้วแบบที่เป็นอยู่มันไม่ดีตรงไหน
เพราะระบบการจัดการผลประโยชน์ปิโตรเลียมในโลกนี้มีหลักๆ ก็แค่ 2
ระบบนั่นคือ ระบบสัมปทาน และ
ระบบแบ่งปันผลประโยชน์ซึ่งต่างก็มีจุดดีจุดด้อยของตนเอง
และที่สำคัญประเทศไหนๆ ทั่วโลกเขานิยามกันว่า “ปิโตรเลียมเป็นของรัฐ”
กันแทบทั้งนั้นยกเว้นสหรัฐอเมริกาที่เขามีแบบแผนจากจารีตที่ให้สิทธิผู้เป็น
เจ้าของทรัพยากรปิโตรเลียมหลายระดับ รัฐบาลกลาง
รัฐบาลท้องถิ่นมาจนถึงเอกชนเจ้าของที่ดิน
เพราะเขาถือหลักสิทธิครอบครองเหนือขึ้นไปในอากาศและลึกลงไปใต้ดิน persons
who owned real property owned "from the depths to the heavens"
มันเป็นการเถียงคนละมุม
ซึ่งก็ไม่ผิดหรอกครับเพราะทรัพยากรธรรมชาติทั้งแร่ธาตุน้ำป่าไปจนถึงคลื่น
เสียงควรจะเป็นสมบัติกลางหรือใช้คำว่า “ของรัฐ” แต่ทว่า “รัฐที่ดี”
ควรจะบริหารจัดการทรัพยากรส่วนกลางดังกล่าวให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อส่วนรวม
และต่อประชาชนส่วนใหญ่ – ใช่หรือไม่ ?
หากทำไม่ได้หรือมีปัญหาก็สมควรจะกำหนดเงื่อนไขหรือนิยามความหมายให้ชัดเจน
หรือครอบคลุมขึ้น
อย่างเช่นประธานาธิบดีฮูโก้ ชาเวซ
แห่งเวเนซูเอล่าอ้างความที่รัฐเป็นเจ้าของปิโตรเลียม
ประกาศให้ผู้รับสัมปทานน้ำมันมาเจรจาต่อรองผลประโยชน์ใหม่
กลายเป็นแบ่งให้รัฐ 80% เอกชนผู้รับสัมปทานเอาไป 20%
แล้วรายได้ดังกล่าวตกเป็นของ “รัฐ”
เพื่อประโยชน์ส่วนรวมแห่งรัฐอย่างแท้จริง
ในทางกลับกัน
ประเทศสารขัณฑ์นามว่าไทยที่นิยามความหมายว่าปิโตรเลียมเป็นของรัฐ
แทนที่จะจัดการให้ “รัฐ”
ที่หมายถึงผลประโยชน์ส่วนรวมโดยเฉพาะประชาชนได้ประโยชน์กลับบริหารจัดการ
กิจการปิโตรเลียมแบบที่ยิ่งทำประชาชนยิ่งไม่ได้ประโยชน์
ผู้ที่ได้ส่วนแบ่งอันหอมหวานกลับเป็นเอกชนต่างชาติ
ส่วนคนในชาติที่ได้รับประโยชน์เต็มๆ
กลับเป็นพ่อค้าเทคโนแครตนักการเมืองจำนวนไม่กี่คน
พรบ.ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 แก้ไขมาหลายรอบจนกระทั่งรอบล่าสุดเมื่อ
2550 มีฐานคิดว่าประเทศของเราไม่ได้เป็นแหล่งน้ำมันไม่ได้เป็นผู้ผลิต
กฎหมายออกมาในยุคนั้นก็แค่การพยายามช่วยเหลือตัวเองในกิจการด้านนี้เท่าที่
ทำได้เช่นเพิ่งจะพยายามตั้งโรงกลั่นน้ำมันสั่งน้ำมันดิบมากลั่นใช้เอง
หรือพยายามขุดเจาะสำรวจ
การแก้ไขกฏหมายแต่ละรอบก็เพื่ออำนวยความสะดวกหรือการดึงดูดให้ต่างชาติเข้า
มาลงทุน อย่างไรก็ตามบรรพชนของเราก็ใช่จะขายตัวขายชาติไปเสียทุกคน
เนื้อหาของกฏหมายนี้พยายามจะปกป้องผลประโยชน์ของรัฐเท่าที่จะทำได้
ปัญหาเกิดขึ้นชัดเจนในยุคหลัง
คือยุคที่เราเริ่มเห็นน้ำเห็นเนื้อจากการสำรวจว่าประเทศของเราเป็นแหล่ง
ทรัพยากรพลังงานที่แม้จะไม่มากมหาศาลเหมือนตะวันออกกลางแต่ก็มากพอที่จะทำ
เงินเป็นแสนล้านให้กับผู้เกี่ยวข้อง ผลประจักษ์ที่มีรูปธรรมมากมาย
แสดงให้พวกเราประชาชนชาวไทยเห็นว่า ฝ่ายบริหารคือนักการเมือง+
ขุนนางข้าราชการเทคโนแครตไม่ได้ดำเนินการในการกำกับบริหารควบคุมดูแลกิจการ
ด้านปิโตรเลียมให้เป็นประโยชน์ต่อรัฐ (ที่หมายถึง
ประเทศชาติส่วนรวมและประชาชนส่วนใหญ่) อย่างแท้จริง
ถ้าบริหารกิจการปิโตรเลียมโดยยึดประโยชน์ส่วนรวมและประโยชน์ประชาชน
จริง
การประกาศเชิญชวนเอกชนต่างชาติมาขอสัมปทานสำรวจและขุดเจาะต้องเปิดเผยโปร่ง
ใสอยู่บนหลักการคัดเลือกที่ประเทศชาติได้ประโยชน์มากที่สุด
เพราะกิจการดังกล่าวเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์เป็นพันเป็นหมื่นล้าน
การคัดเลือกตั้งต้องตั้งบนความสามารถ และข้อเสนอที่ดีที่สุดให้กับรัฐ ไม่ใช่แค่เพราะเป็นเพื่อนหรือพวกของนักการเมือง
กรณีบริษัทของโมฮัมเหม็ด อัลฟาเยด เพื่อนของทักษิณ ชินวัตร
ที่มีข่าวบินมาคุยกันเรื่องพลังงานในช่วงปลายยุคทักษิณ
แล้วต่อมาตั้งบริษัทชื่อ “Harrods Energy” ได้สัมปทานสำรวจขุดเจาะ 4
แปลงในอ่าวไทย
อีกแปลงได้สัมปทานบังหน้าแต่วงการเขาบอกว่าสำรวจแหล่งแร่แถวชายฝั่งพังงา
สรุปว่า แฮรอดส์ เอนเนอร์ยี่
ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันและต่อมาก็เปลี่ยนชื่อเป็น “เพิร์ลออยล์” Pearl
Oil ยังได้ต่ออายุสัญญาสัมปทานไปอีก
(ทั้งๆที่ช่วงแรกไม่ได้มีความคืบหน้าอะไรเลย)
ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐ นักการเมืองและขุนนางเทคโนแครต ถือว่า
“ปิโตรเลียมเป็นของรัฐ”
ย่อมต้องกำกับควบคุมอนุญาตและดำเนินการให้เป็นไปเพื่อประโยชน์ที่แท้จริงของ
“รัฐ” ที่หมายถึงประเทศชาติส่วนรวมและประชาชนส่วนใหญ่
รายละเอียดสัญญาสัมปทานต้องเปิดเผยให้ประชาชนเข้าถึงได้
แต่สัญญาสัมปทานปิโตรเลียมบริษัทไหนได้สิทธิ์ยกเว้นอะไรบ้าง ฯลฯ
ไม่เคยโผล่มาให้ประชาชนเห็น
จะมีก็แค่ประกาศเป็นการสรุปในแต่ละช่วงซึ่งก็ไม่ใช่รายละเอียดสัญญาจริง
ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐและนักการเมืองทำหน้าที่บนผลประโยชน์ของประชาชน
จริง ต้องระวังอย่างยิ่งกับการให้สัมปทานบริษัทหน้าใหม่เพิ่งตั้งใหม่สด ๆ
ร้อนๆ เสนอตัวเข้ามาหากินกับทรัพย์สมบัติของประเทศ ทั้งๆ
ที่ในกฎหมายเขาก็บอกว่าไว้ผู้เสนอตัวต้องมีประสบการณ์มีอะไรต่อมิอะไรมากมาย
เป็นเงื่อนไข บริษัทหน้าใหม่เหล่านี้ก็ได้งานไปสบายๆ
กรณีบริษัทมิตรา เอ็นเนอร์ยี่ ลิมิเต็ด
ที่กำลังขุดเจาะที่เขตทวีวัฒนาก็เหมือนกัน
เป็นกลุ่มบริษัทที่เพิ่งจดทะเบียนใหม่วางตัวเองไว้ที่การสำรวจขุดเจาะละแวก
เอเชียนตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันได้งานที่อินโดนีเซีย
เวียดนามมากมายส่วนของไทยมีสัดส่วนนิดเดียว ปัญหาก็คือ
บริษัทนี้จดทะเบียนมาปุ๊บก็ได้งานของไทยเป็นลำดับแรกๆ
แล้วค่อยใช้ฐานโปรไฟล์ดังกล่าวไปคว้าสัมปทานในประเทศเพื่อนบ้าน
กรณีของมิตราฯก็เช่นเดียวกันยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดสัญญาสัมปทานให้
สาธารณะรับรู้ คำว่ารายละเอียดคือตัวสัญญา
ไม่ใช่บรรยายสรุปแค่ว่าได้งานแปลงอะไรไปตั้งแต่ปีอะไรและคืนมาจำนวนเท่าไหร่
หากแต่เป็นรายละเอียดข้อผูกพันระหว่าง “รัฐไทย” กับ “บริษัทเอกชนต่างชาติ”
ที่คนไทยควรจะเข้าถึงได้ เช่นเดียวกับคุณสมบัติที่ผ่านการพิจารณาตามมาตรา
24 แห่งพรบ.ปิโตรเลียม ว่าเคยมีประสบการณ์อะไรมา เชื่อมั่นได้แค่ไหน
เรื่องราวเหล่านี้กลายเป็นข้อมูลลับเฉพาะที่มีแต่ขุนนางพลังงานกับ
นักการเมืองเท่านั้นที่รู้ ซึ่งมันไม่เป็นธรรมกับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
ถ้าพวกท่านยังคิดว่าประชาชนเป็นเจ้าของทรัพยากรดังกล่าว
การขอเปลี่ยนแปลงนิยามของปิโตรเลียมให้ชัดเจนขึ้นว่าเป็นทรัพยากรที่
ประชาชนร่วมกันเป็นเจ้าของบรรจุในรัฐธรรมนูญใหม่เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญปี
2540 นิยามความหมายของคลื่นความถี่ให้เป็นของสาธารณะ
จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการดำเนินการ วิธีคิด วิธีปฏิบัติเสียใหม่
อย่างน้อยต้องวางอยู่บนผลประโยชน์ และความรับรู้ของประชาชนส่วนใหญ่
ซึ่งแน่นอนมันจะยกเลิกวิธีการแบบที่บริษัทโน้นเป็นเพื่อนนักการเมือง
ใหญ่คนนี้ มีประกาศสัมปทานแปลงใหม่ๆ ก็งุบงิบพิจารณากัน
รายละเอียดผลตอบแทนเงื่อนไขลดหย่อนต่างๆ ไม่เคยปรากฏต่อสาธารณะ
ประวัติศาสตร์โลกยุคใหม่นับจากยุคอาณานิคมเป็นต้นมาล้วนแต่เกี่ยว
ข้องกับการไล่ล่าทรัพยากรจากต่างแดนเพื่อประโยชน์ของมหาอำนาจไม่กี่ประเทศ
ในยุคหนึ่งประเทศไทยถูกบังคับกลายๆ ให้เปิดสัมปทานป่าไม้ให้บริษัทฝรั่ง
จนกระทั่งไม้สักหมดไปจากป่าภาคเหนือ
รวมไปถึงการขุดเหมืองทำแร่ดีบุกเพื่อส่งออกให้ฝรั่งเป็นล่ำเป็นสันในภาคใต้
ซึ่งตอนนั้นอาจจะมีคนบอกว่าก็เราแบ่งสัดส่วนผลประโยชน์กัน
ฝรั่งได้ไม้สักไปส่วนเราได้เงินส่วนแบ่งกลับมาเข้ารัฐ ก็เป็นธรรมดีแล้วนี่
...เราลองใช้สายตาของศตวรรษที่ 21
มองย้อนกลับไปสิครับว่ามันเป็นธรรมหรือไม่
เอาเรือปืนมาจ่อบอกให้เปิดสัมปทานป่าไม้ให้
แรงงานกุลีถ้าขึ้นทะเบียนเป็นคนในบังคับเขาทำผิดอะไรก็ไม่ต้องขึ้นศาลไทย
ฯลฯ
มาวันนี้ วันที่ปิโตรเลียมกลายเป็นลมหายใจของโลกยุคใหม่
ทุกชาติทั้งมหาอำนาจกระจอกอำนาจต้องวุ่นวายกับเรื่องน้ำมันถึงขั้นต้องก่อ
สงครามเพื่อฮุบประโยชน์ส่วนนี้
ประเทศไทยของเรายังติดกลุ่มประเทศผู้เก็บอัตราภาษีและส่วนแบ่งปิโตรเลียมต่ำ
มากประเทศหนึ่ง โดยไม่มีใครคิดจะปรับเปลี่ยนอะไร
ซึ่งทำให้ผมนึกถึงในยุคที่ฝรั่งมาตัดไม้สักบ้านเราแล้วอาจจะมีคนบอกว่าคิด
ภาษีเขาเท่านี้ก็พอ เพราะเพื่อนบ้านก็คิดกันเท่าๆ นี้แหละ
เหมือนกันเลยกับกรณีสัมปทานปิโตรเลียม
ชาติที่เขาหัวแข็งรู้สันดานฝรั่งเขาจึงไม่ยอมให้มาตักตวงประโยชน์จากบ้านเขา
ง่ายๆ ตั้งกำแพงเงื่อนไขไว้สูงๆ
แต่สำหรับบ้านเรากลับเดินตามแบบที่ถูกกำหนดไว้เช่น
อัตรามาตรฐานส่วนแบ่งและภาษีปิโตรเลียมควรจะเป็นเท่านั้นเท่านี้
เหมือนกับเกรงว่าไม่มีใครจะมาลงทุนขุดเจาะ ปุดโธ่! ยุคนี้มีแต่คนแย่งกัน
โดยเฉพาะนักการเมืองไทยนักการเมืองเพื่อนบ้านนี่แหละตัวดีสมคบกับฝรั่งจะ
เข้ามาเอาสัมปทานให้ได้
เอาเฉพาะเรื่องอัตราภาษีเงินได้ปิโตรเลียมและค่าภาคหลวงก็สามารถ
เขียนต่อได้อีกเยอะเลย ข้อเขียนว่าด้วยปิโตรเลียมและความพยายาม
“ปฏิรูปการปิโตรเลียม”
ผ่านนิยามกฏหมายในลักษณะเดียวกับคลื่นความถี่ยังต้องว่ากันยาวอีกหลายยกครับ
ให้ถือว่าฉบับนี้เป็นบทไหว้ครูก็แล้วกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น