วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2555

อนาคตของโลกฝากไว้ในมือชาวไร่ชาวนา


ระหว่างหมอ, ทหาร, ตำรวจ, พ่อค้า, นักเขียน, นายแบงก์ และชาวนา คุณคิดว่าอาชีพไหนจะรุ่งกว่ากัน เชื่อหรือไม่คะว่า ในอีก 20-30 ปีข้างหน้า “ชาวนา” จะรวยอื้อซ่าส์กว่าทุกอาชีพ ทำรายได้แซงหน้านักลงทุนวอลล์สตรีทด้วยซ้ำ สาเหตุที่กล้าฟันธงอย่างนี้ ก็เพราะในอนาคตไม่ใกล้ไม่ไกล โลกจะต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์อาหารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเมื่อถึงเวลานั้นจริงๆ ใครจะเป็นฮีโร่กอบกู้โลกใบนี้ ถ้าไม่ใช่ เกษตรกรผู้เป็นกระดูกสันหลังของชาติมาแต่โบร่ำโบราณ

ในขณะที่องค์การอาหารและเกษตรโลกออกรายงานถึงสถานการณ์อาหารโลกอันน่าเป็นห่วงในปัจจุบัน โดยระบุว่า ราคาอาหารโลกได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 20 ปี เมื่อปี 2011 และคาดว่าจะทะยานขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งในอนาคต โดยตัวการมาจากปัญหาดินฟ้าอากาศที่แปรปรวนทั่วโลก ทำให้ผลผลิตของเกษตรกรลดลงฮวบฮาบ อีกปัจจัยสำคัญก็คือ ความต้องการอาหารที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มประเทศเกิดใหม่ ซึ่งเศรษฐกิจกำลังขยายตัวรวดเร็ว เช่น จีน และอินเดีย เมื่อรายได้ ของประชากรสูงขึ้น ทำให้บริโภคอาหารเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว

ในฐานะนักลงทุนชั้นเซียนของอเมริกา ที่ได้รับการยอมรับเรื่องวิสัยทัศน์ “จิม โรเจอร์ส” คาดการณ์ว่ารายได้จากการทำเกษตรกรรมจะทะยานขึ้นในอีก 2-3 ทศวรรษข้างหน้า โดยจะเติบโตรวดเร็วกว่าทุกแวดวงอุตสาหกรรม แม้แต่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ซึ่งกุมเงินทุนมหาศาล ก็สู้ไม่ได้!! ทั้งนี้เป็นผลมาจากราคาอาหารโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ท่ามกลางความหวั่นวิตกว่าโลกใกล้เผชิญกับวิกฤตการณ์อาหารเข้าไปทุกที เมื่อถึงเวลานั้น ใครล่ะจะต้องการนายแบงก์เพิ่มขึ้น เพราะสิ่งที่จะช่วยโลกให้พ้นจากความอดอยากก็คือ มือวิเศษของชาวไร่ชาวนา ที่จะเนรมิตข้าวปลาอาหารให้พวกเราได้อิ่มท้อง

ทั้งๆที่มีความสำคัญถึงเพียงนี้ แต่อาชีพเกษตรกรก็ยังถูกหยามเหยียด และดูแคลนว่าด้อยค่า เมื่อเทียบกับอาชีพอื่นๆที่มีหน้ามีตากว่าในสังคม โดยหลายๆประเทศ รวมถึงอเมริกา พยายามรณรงค์ให้มีการอนุรักษ์อาชีพชาวไร่ชาวนาก่อนจะสูญพันธุ์ และสนับสนุนให้คนทำเกษตรกรรมมากขึ้น แทนที่จะละทิ้งเรือกสวนไร่นา เข้ามาหางานทำในเมืองกรุงอย่างที่กำลังเกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก

นับตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา อุตสาหกรรมการเงิน, เทคโนโลยี และภาคบริการ ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจอเมริกาเป็นอย่างมาก แทนที่ภาคเกษตรกรรม ซึ่งเคยเป็นแหล่งสร้างรายได้ หลักของประเทศมาตั้งแต่อดีต โดยอเมริกาถือเป็นผู้ส่งออกถั่วเหลืองและข้าวโพดรายใหญ่อันดับต้นๆของโลก

อย่างไรก็ดี น่าชื่นใจไม่น้อยที่อนาคตของเกษตรกรโลกเริ่มแจ่มใสมากขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา อันเป็นผลมาจากความเฟื่องฟูของพลังงานชีวภาพ ซึ่งถูกวางตัวให้เป็นพลังงานทดแทนในอนาคต ขณะเดียวกัน ก็ต้องขอบคุณชนชั้นกลางในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ที่ร่ำรวยอู้ฟู่ขึ้น ทำให้มีความต้องการบริโภคอาหารเพิ่มขึ้นอย่างยั้งไม่อยู่

มีการคาดการณ์กันว่าที่ดินเพื่อการเกษตรจะกลายเป็นเหมืองทองในอนาคตแน่ๆ โดยมีหลักฐานบ่งชี้จากตัวเลขของธนาคารกลางสหรัฐอเมริการะบุว่า ในขณะที่เศรษฐกิจอเมริกาเติบโตขึ้นเพียง 1.9% ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ และราคาอสังหาริมทรัพย์ในอเมริกาดิ่งตัวลง รายได้สุทธิจากภาคเกษตรกรรมกลับพุ่งพรวดขึ้นถึง 27% และมีแนวโน้มจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในอนาคต

เพราะเป็นพวกเสือปืนไว จึงไม่น่าแปลกใจที่นักลงทุนขาใหญ่ในวอลล์สตรีทจะเล็งเห็นโอกาสทองจากการลงทุนในภาคเกษตรกรรมมาพักใหญ่แล้ว โดยมีการจัดตั้งกลุ่มทุนภาคเกษตรกรรมขึ้นเฉพาะ เพื่อกว้านซื้อที่ดินการเกษตรผืนงามๆมาไว้ในมือให้ได้มากที่สุด

สำหรับเมืองไทยของเรา อันที่จริงแล้ว เรามีของดีอยู่ในตัวล้นเหลือ นั่นคือ ความเป็นประเทศเกษตรกรรม แทนที่จะทิ้งรากเหง้าของตัวเอง แล้ววิ่งไล่แจกแท็บเล็ตให้เด็กไทย เพื่อสร้างภาพลักษณ์ความไฮเทค รัฐบาลน่าจะหันมาพัฒนาประเทศอย่างมีสติและจริงใจ เพื่อให้เป็นอู่ข้าวอู่น้ำหลักของโลกในอนาคต.

มิสแซฟไฟร์


source : http://www.thairath.co.th/column/oversea/around/266677

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น