โดย : ทิฆัมพร ศรีจันทร์
source : http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/asean-plus/20120627/458741/ดุลยภาพโลกกับเออีซี-จีน-โอกาสและความเสี่ยง(1).html
แกนของโลกกำลังเปลี่ยน นักวิชาการและกูรูระดับโลกวิเคราะห์ไว้อย่างมีนัยยะสำคัญ เมื่อแกนของโลกหมุนกลับมาสู่เอเชียมากขึ้น
ในทุกด้านทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมืองในช่วงเริ่มต้นศตวรรษที่ 21 โลกกำลังเปลี่ยนขั้วอำนาจ จากตะวันตกสู่ตะวันออก หรือ เรียกยุคใหม่นี้ว่า “บูรพาภิวัฒน์”(1) โดยมีจีนและอินเดียเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ขณะที่รัสเซียก็กลับมาแข็งแกร่งมากขึ้น ส่วนตะวันออกกลางดินแดนแห่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ กลายเป็นนักลงทุนระดับโลก
ไม่เพียงแต่เอเชียที่เติบโตขึ้น แต่บราซิลแห่งทวีปอเมริกาใต้ก็มีเศรษฐกิจที่กำลังขยายตัวอย่างมากเม็กซิโกจะกลายเป็นยักษ์ใหญ่ในอเมริกากลาง
ด้านมหาอำนาจเดิมอย่างสหรัฐกำลังถดถอยลงทุกด้าน โดยเฉพาะการเปลี่ยนฐานะจากเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุด เป็นลูกหนี้รายใหญ่ที่สุดแทน โดยมีเจ้าหนี้ คือ จีน ญี่ปุ่นและประเทศผู้ผลิตน้ำมันแห่งตะวันออกกลาง ทำให้ขนาดเศรษฐกิจสหรัฐลดลงจาก ร้อยละ 50 ของโลก ในช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เหลือเพียงร้อยละ 20 ในปัจจุบัน
นอกจากนี้ ในเชิงเศรษฐกิจ สหรัฐที่ประสบภาวะวิกฤติที่เรียกว่าแฮมเบอรก์เกอร์ไครซิส ส่งผลให้สหรัฐต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวอย่างยาวนาน ประมาณการว่าอีก 10 ปีข้างหน้า หรือ ปี 2019 หนี้สาธารณะของสหรัฐจะพุ่งไปอยู่ที่ 14.3 ล้านล้านเหรียญ พร้อมกับการแก้ไขปัญหาที่สลับซับซ้อนมากขึ้น
ขณะที่พันธมิตรของสหรัฐอย่างยุโรปหรือเรียกกันว่าชาติตะวันตกอีกกลุ่มหนึ่ง ก็ต้องเผชิญกับหนี้สาธารณะท่วมและคนว่างงานเพิ่ม ซึ่งหากพิจารณาสัดส่วนหนี้สาธารณะของยุโรปทั้งหมดต่อจีดีพี พบว่าอยู่ที่ ร้อยละ 90 ของผลผลิตทวีป และในช่วง 3 ปีข้างหน้า สัดส่วนหนี้ดังกล่าวจะเพิ่มเป็น ร้อยละ 100 ขณะเดียวกัน ยุโรปกำลังเข้าสู่วัยชรา หรือ ประชากรส่วนใหญ่มีอายุ สี่สิบสอง - สี่สิบหก และอัตราการเกิดต่ำ
ด้านญี่ปุ่นแม้จะอยู่ในเอเชีย แต่ได้พัฒนาเศรษฐกิจไปก้าวหน้าทัดเทียมกับชาติตะวันตกในยุคก่อนหน้านี้ แต่ขณะนี้กำลังได้รับผลกระทบอย่างหนัก หนี้สินภาครัฐหรือ หนี้สาธารณะร้อยละ 190 ต่อจีดีพี และสังคมญี่ปุ่นกำลังเข้าสู่วัยชราเหมือนกับอียู
หากพลิกปูมประวัติศาสตร์จะพบว่า ศตวรรษที่ 19 - 20 ที่ผ่านมาเป็นของตะวันตก แต่ศตวรรษที่ 21 จะเป็นของเอเชียและซีกโลกตะวันออก ทำให้ไทยและอาเซียนต้องหันมาให้ความสำคัญกับโลกตะวันออกมากขึ้น เพื่อไม่ให้ “ตกขบวน” เพราะจะพลาดโอกาสพัฒนาเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดด
ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี)
พร้อมกับแกนโลกที่หมุนมายังเอเชีย ทางกลุ่มอาเซียนเองได้ตั้งเป้าหมายการรวมกลุ่มกันกระชับมากขึ้นเป็นประชาคมอาเซียนหรือเอซี โดยมีความร่วมมือในสามเสาหลัก ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม วัฒนธรรม
กล่าวสำหรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี มีเป้าหมายการเปิดเสรี สร้างตลาดร่วมที่อนุญาตให้สินค้า บริการ การลงทุน เงินทุนและแรงงานฝีมือสามารถเคลื่อนย้ายได้ภายใต้ข้อกีดกันลดลงเพื่อสร้างฐานการผลิตร่วมกัน การเร่งส่งเสริมให้อาเซียนเป็นภูมิภาคที่มีการส่งเสริมภาวการณ์แข่งขันในระบบตลาด เป็นภูมิภาคที่มีระดับการพัฒนาเศรษฐกิจและเป็นภูมิภาคที่มีปฎิสัมพันธ์กับประชาคมโลกมากขึ้น(2)
โดยมีหลักไมล์สำคัญในปี 2558 ต้องรวมตัวสร้างประชาคมให้สำเร็จ ระยะเวลาเพียง 2-3 ปีที่เหลือจึงต้องเร่งพัฒนาเศรษฐกิจของตัวเอง พัฒนาเมือง ตึกรามบ้านช่อง ที่อยู่อาศัยเพื่อต้อนรับการมาของนักลงทุนต่างชาติที่เห็นโอกาสตลาดเกือบ 600 ล้านคนในภูมิภาคนี้
เออีซีพัฒนามาจากการเปิดเสรีภายใต้กรอบเขตการค้าเสรีอาเซียนหรืออาฟต้า ปี2535 รัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน ลงนามข้อตกลงเปิดเสรีสินค้าลดภาษีเหลือ0-5%ภายใน 15 ปีการลดภาษีดังกล่าวทำให้เกิดโอกาสขยายตัวทางการค้าอย่างกว้างขวาง ตลาดอาเซียนก้าวขึ้นเป็นตลาดส่งออกของไทยอันดับแรกแซงหน้าสหรัฐ ยุโรป ผู้บริโภคในแถบอาเซียนต่างให้ความนิยมและเชื่อมั่นคุณภาพสินค้าไทย ในสินค้าอุปโภค บริโภค เครื่องคอมพิวเตอร์ ยานยนต์ ชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้า และน้ำมัน
ขณะที่ประเทศสมาชิกอาเซียน ก็มีระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก หลายประเทศมีการพัฒนาแบบก้าวกระโดด ไม่นับรวมสิงคโปร์ที่พัฒนาไปก่อนหน้าแล้ว แต่ทั้งมาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนามก้าวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตามท่ามกลางโอกาสของตลาดที่เปิดกว้างขึ้นอย่างที่กล่าวตอนต้น การก้าวไปสู่เออีซีก็มีความเสี่ยงไม่น้อยเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะระดับการพัฒนาที่แตกต่างกันมากระหว่างอาเซียนเดิมและกลุ่มอาเซียนใหม่หรือซีแอลเอ็มวี ซึ่งระดับการพัฒนาที่ยังมีช่องว่างต่างกันมาก เช่น ประชากรสิงคโปร์กับประชากรพม่ามีรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่างกันถึง 60 เท่า ระดับรายได้ที่ต่างกันส่งผลไปถึงอำนาจซื้อที่แตกต่างกัน
นอกจากนี้สินค้าที่กลุ่มอาเซียนผลิตยังคล้ายกัน ส่งผลให้ชาติอาเซียนแข่งขันกันเองสูงมาก แทนที่จะมุ่งสร้างฐานผลิตร่วมกัน เช่น เวียดนามที่ให้การยอมรับว่าเป้าหมายเออีซีเป็นเรื่องยากที่จะทำให้สำเร็จตามเป้าหมายปี 2558 เนื่องจากเศรษฐกิจเวียดนามและภูมิภาคนี้ขับเคลื่อนด้วยการส่งออก จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะแข่งขันกันเองและตลาดส่งออกส่วนใหญ่อยู่ในยุโรปและสหรัฐ เมื่อเศรษฐกิจผู้นำเข้าถดถอย ผู้นำเข้าจำเป็นต้องชะลอการรับซื้อ เวียดนามจึงต้องเอาตัวให้รอดก่อน ความร่วมมือจึงอยู่ภายใต้พื้นฐานการแข่งขันและความหวาดระแวง คลางแคลงใจ หลายประเทศในอาเซียนเองก็มีแนวคิดเช่นเดียวกัน
อาเซียนยังมีจุดอ่อนและความเสี่ยงด้านการศึกษาและการพัฒนาคน โดยแต่ละประเทศใช้งบประมาณเพื่อการวิจัยและการพัฒน้อยมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในโลก การทุ่มวิจัยและพัฒนาน้อยจะทำให้ภูมิภาคมีจุดด้อยในด้านเทคโนโลยี ซึ่งทำให้ภูมิภาคยังคงเป็นผู้รับจ้างผลิตในระบบการผลิต มิใช่การสร้างมูลค่าเพิ่มในธุรกิจสมัยใหม่จากความคิดสร้างสรรค์
การก้าวสู่เป้าหมายเออีซีของอาเซียน ยังจำเป็นต้องมีอาเซียนสปิริตและอาเซียนเฟิร์สต์ โดยทุกระดับต้องให้ความสำคัญกับอาเซียนเป็นอันดับแรก หรืออาเซียนต้องมาก่อนในทุกด้าน เพื่อผนึกความร่วมมือในการพัฒนาไปสู่ฐานการผลิตเดียวกันเหมือนกับสหภาพยุโรป หรือ อียู มีอียูเฟิร์สต์ และที่สำคัญอาเซียนต้องเชื่อมโยงกับประเทศนอกกลุ่ม โดยเฉพาะตลาดที่เปิดใหม่และมีพัฒนาการที่รวดเร็วอย่างจีน
การสร้างประชาคมยาก จะต้องสร้างสปิริตของอาเซียนขึ้นมาให้ได้เพื่อเป้าหมายรวมกันเป็นหนึ่ง เป็นหน้าที่ของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และพลเมืองของอาเซียน โดยเฉพาะไทยฝ่ายการเมืองต้องเข้มแข็ง ถือธงนำและผลักดันจริงจังมากกว่านี้
อาเซียน-จีน
จากที่ได้กล่าวมาข้างต้นเศรษฐกิจโลกจะหมุนมาเอเชีย โดยจีนจะมีบทบาทสำคัญเป็นหัวเรือใหญ่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเอเชียและเศรษฐกิจโลกในศตวรรษที่ 21 โดยช่วง 10ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจจีนขยายตัวแบบดับเบิลดิจิตมาโดยตลอด เพิ่งลดความร้อนแรงลงเล็กน้อยในช่วง1-2 ปีที่ผ่านมา โดยล่าสุดปรับประมาณการเศรษฐกิจปี2555ของตนเองลงเหลือโตแค่ร้อยละ 7.5 แต่ไม่ได้สะท้อนนัยยะในเชิงถดถอย เพียงแค่ลดความร้อนแรงลงเท่านั้น
จีนประกาศตัวเป็นโรงงานการผลิตของโลก ผลิตสินค้าส่งออกแทบทุกรายการป้อนให้กับตลาดโลกเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการจ้างงานในประเทศ โดยอาศัยค่าแรงงานต่ำในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับการฐานการตลาดใหญ่ประชากร1.2พันล้านคน สร้างแรงจูงใจให้ทุนต่างชาติไหลเข้าไปลงทุนในจีนมากมายมหาศาลในช่วงที่ผ่านมา
การส่งออกและการลงทุนในช่วงที่ผ่านมา ได้ทำให้จีนสะสมความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น โดยมีทุนสำรองระหว่างประเทศ 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ปัจจัยดังกล่าวจึงผลักดันให้จีนเริ่มออกไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้นตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับ 12 ของจีนที่เน้นก้าวไปข้างนอกเพื่อรักษาความสมดุลและเน้นพัฒนาเศรษฐกิจแบบมีคุณภาพ
ความสัมพันธ์ไทย-จีนและอาเซียน-จีน
ไทยกับจีนได้ตกลงจัดตั้งเขตการค้าเสรีก่อน โดยเปิดเสรีสินค้าผัก ผลไม้ เป็นลำดับแรก ก่อนพัฒนามาอยู่ภายใต้กรอบอาเซียน-จีนในปี 2547และลดภาษีมากกว่าสินค้ามากกว่า 5,000 รายการให้เหลือร้อยละ0ในปี2553 พร้อมกับเป้าหมายเปิดเสรีบริการและการลงทุน โดยมีสินค้าสงวนให้เหลือน้อยที่สุด
การเปิดเสรีดังกล่าวสร้างโอกาสให้กับไทย จีน และอาเซียนเป็นอย่างมาก โดยจีนกลายเป็นตลาดส่งออกสำคัญของอาเซียน รวมทั้งไทยในหลากหลายสินค้าทั้งชิ้นส่วนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ มันสำปะหลัง ยางพารา
จีนกำหนดให้เมืองหนานหนิงเป็นศูนย์กลางเชื่อมอาเซียน และให้เมืองคุนหมิงเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมมายังเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อหาทางออกลงทะเล โดยการเร่งพัฒนาเส้นทางรถไฟคุนหมิงผ่านลาวมายังไทยผ่านไปมาเลเซียและสิ้นสุดที่สิงคโปร์ ด้านถนนพัฒนาเส้นทางสายอาร์เก้า อาร์สามเอ เชื่อมโยงกรอบความร่วมมืออนุภาคลุ่มน้ำโขง
ขณะเดียวกันโอกาสในการลงทุนในจีนยังเปิดกว้าง โดยเฉพาะในธุรกิจบริการหลากหลายทั้งด้านบันเทิง อาหาร การท่องเที่ยว โรงแรม ที่จีนเปิดรับนักลงทุนมากขึ้นในหลายๆมณฑล
อย่างไรก็ดีโอกาสของตลาดที่เปิดกว้างขึ้น กำลังซื้อที่เพิ่มสูงขึ้น มาพร้อมกับความเสี่ยงหลายประการในการทำการค้าการลงทุนกับจีน โดยเฉพาะมาตรการกีดกันการค้าที่ไม่ใช่ภาษี ที่จีนนำมาใช้มากขึ้นในระยะหลัง ทั้งการตรวจสุขอนามัยพืชและสัตว์ที่เข้มข้น มาตรฐานสิ่งแวดล้อมถูกสร้างขึ้นมา เพื่อใช้เป็นข้อกีดกันทางการค้า ส่งผลให้สินค้าผัก ผลไม้ไทยเข้าไปทำตลาดจีนยากลำบากขึ้น เนื่องจากถูกกักกันที่ด่านเพื่อตรวจสอบเป็นระยะเวลาหลายวันส่งผลให้สินค้าเน่าเสีย รวมทั้งการกระจายสินค้าที่ยังไม่ได้รับการอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ทำให้สินค้าไทยเข้าไปจีนไม่คล่องตัวมากนัก
นอกจากนี้ยังมีระบบภาษีที่ซ้ำซ้อน โดยหลังจากที่สินค้าผ่านเข้าด่านไปถึงแต่ละมณฑลภายในของจีนจะเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอีกต่อหนึ่ง ส่งผลให้ผู้ส่งออกมีต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากการเสียภาษีซ้ำซ้อนทั้งที่ภายใต้ข้อตกลงจะมีการยกเว้นภาษี แต่อาศัยอำนาจรัฐบาลท้องถิ่นในการเก็บภาษีเพิ่ม ขณะที่ผู้ผลิตภายในได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น ทำให้ผู้ส่งออกไทยค่อนข้างเสียเปรียบ
การทำการค้ากับจีนยังเสี่ยงที่จะต้องถูกลอกเลียนแบบสินค้า หรือ ปลอมแปลงสินค้าหากสินค้าไทยได้รับความนิยมทั้งปลอมแปลงแบรนด์และผสมขึ้นใหม่ เช่น นำเข้าข้าวหอมมะลิจากไทยไปผสมกับข้าวในจีนและระบุที่มาจากไทย ส่งผลให้คุณภาพข้าวหอมมะลิไทยเสียหายและตัดโอกาสทางการค้าของไทย
ความเสี่ยงอีกประการในการทำ การค้า การลงทุนกับจีน คือ กฎระเบียบในการทำการค้า โดยจีนมักอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวมากกว่ายึดถือกฎระเบียบ การเข้าทำตลาดจีนจึงต้องศึกษาประเพณีวัฒนธรรมให้ชัดเจน เช่น ผู้น้อยเคารพผู้ใหญ่ การไปเยี่ยมพบหน่วยงานรัฐหรือผุ้ใหญ่ภาคเอกชน ต้องมีสิ่งของไปคารวะจะได้รับความสะดวกมากขึ้นสะท้อนการไม่ยึดถือกฎ กติกา การค้าของจีน
จากความเสี่ยงที่ได้กล่าวมา รัฐบาลไทยและอาเซียนต้องให้ความช่วยเหลือภาคเอกชน โดยรัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐต้องเป็นทัพหน้าในการเจรจาแก้ไขปัญหาอุปสรรค เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับภาคเอกชนในการทำธุรกิจ โดยเฉพาะหากมีการเจรจาทบทวนข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน กลุ่มอาเซียนต้องผนึกกำลังกันกดดันให้จีนลด ละ เลิก มาตรการที่เป็นอุปสรรคทางการค้า พร้อมกับเจรจาเปิดเสรีเพิ่มในส่วนของภาคบริการและการลงทุน ซึ่งจีนยังปิดกั้นในหลากหลายธุรกิจเพื่อให้เป็นประโยชน์กับอาเซียนอย่างแท้จริง
(มีต่อตอน2)
อ้างอิง(1)บูรพาภิวัฒน์ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ (2) 10 จุดอ่อนการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ปิติ ศรีแสงนาม
วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555
วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555
แนวโน้มด้านพลังงาน ที่เป็นปัจจัยหลัก 3/3
การตั้งถิ่นฐาน สภาพความเป็นอยู่ของมนุษย์ใน 100 ปี ข้างหน้า
: แนวโน้มด้านพลังงาน ที่เป็นปัจจัยหลัก 3/3
(Source : http://www.sunflowercosmos.org/climate_change/climate_change_home/inhabited_3.html)
|
ความเป็นไปได้ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ การเปลี่ยนแปลงระบบพลังงานสร้างความกังขาจากเทคโนโลยีที่ยังไม่สิ้นสุด ทำให้กว่าครึ่งอาจไม่เข้าใจ ยึดติดกับรูปแบบเดิมจากพลังงานเดิมๆ ปัญหาใหญ่คือ นักการเมืองหรือรัฐ ที่จะสนับสนุน อธิบายสร้างความเข้าใจไปสู่กลุ่มประชากรของตน ได้ชัดแจ้งหรือไม่ มีองค์กรคอยสนับสนุนถึงผล
ลัพธ์เช่นไร โดยจะหวังพึ่งเพียงนักวิชาการไม่เพียงพอและทันเวลา
ความนิยมสนใจกลายเป็นกลุ่มที่มีความรู้ กลุ่มประชากรรุ่นใหม่ หรือกลุ่มที่มีความจำเป็นต้องใช้ในชนบทที่ระบบไฟฟ้าเข้าไม่ถึง เป็นกลุ่มแรกๆ คงคิดเหมือนกันเกือบทั้งประเทศ ว่าเมื่อน้ำมันแพงมีราคาสูง แก้ไขเหตุการณ์โดยเปลี่ยนเป็นระบบก๊าซ แต่ทราบหรือไม่ว่าอีกไม่นานก๊าซก็จะหมดไปอีกก็จะเปลี่ยนเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ หรืออื่นๆต่อไป นั่นคือวิถีที่จำเป็น การเลือกใช้พลังงานแบบผสมผสาน ในชีวิตประจำวันน่าจะเป็นทางออกเหมาะสมกับสถานการณ์ และด้วยสาเหตุปลูกฝังแนวความคิดดั้งเดิมอย่างยาวนาน เป็นตัวขัดขวางเงื่อนไขการใช้พลังงาน ให้เกิดความไม่ถูกต้องมากมาย พูดคุยกันไม่รู้จบมานานนับปี เช่น การใช้รถยนต์ส่วนตัวไปในทุกกรณี ถือเป็นค่านิยม หากไม่ขับรถไปรู้สึกไม่สะดวก ในบางกรณีอาจไม่จำเป็นก็ควรลดลงบ้างตามความเหมาะสม แท้จริงแล้วหลายประเทศเฉพาะญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ มักใช้รถส่วนตัวในวันหยุดสำหรับครอบครัวมากนานแล้ว นี้เพียงเป็นตัวอย่างแห่งค่านิยม ผสมกับความจำเป็นไม่สามารถแยกออกจากกันจากจิตสำนึกได้ เพราะฉะนั้นแนวโน้ม เรื่องพลังงานย่อมมีเรื่องจิตสำนัก รวมถึงรัฐเป็นตัวแปรเป็นปัจจัยร่วมสร้าง ความสะดวกในการเดินทาง ของประชากรให้มากขึ้นกว่าเดิม อย่างไรก็ตามเชื่อว่า ประชากรรุ่นใหม่ เข้าใจสถานะได้ดีกว่า พร้อมจะยอมรับการการพลิกผันด้านพลังงาน ที่ต้องพบกับเดือดร้อนในอนาคต อย่างมีเหตุผล |
|
||
โรงเรียนฝึกวิชาชีพ ด้านพลังงานเกิดขึ้น
|
||
|
|
||
เมื่อ
โลกมีความพร้อม ด้านต่างๆมากขึ้น รูปแบบอำนวยความสะดวกของพลังงาน
ย่อมส่งผลในเรื่องการแข่งขัน เป็นปัจจัยทำให้ราคาถูกลง คำว่าถูกลง คงไม่ใช่ถูกเหมือนเคยแล้ว เพราะมีองค์ประกอบของลิขสิทธิ์ ความคิดบวกเป็นต้นทุนไปในสินค้านั้นๆด้วย
อย่างน้อยระยะ 10-20 ปี การปรับสภาพของระบบเศรษฐกิจ เป็นตัวบังคับไปโดยปริยายต่อปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมๆกับความเข้าใจ หลังจากนั้นรูปแบบสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆที่ใช้พลังงานชนิดใหม่ๆ จะเข้าสู่ความเป็นปกติ หลังจากการต่อสู้ทางการตลาดของโลกอย่างยาวนาน จนได้รับความนิยมในทิศทางหนึ่งทิศทางใดที่เป็นพลังงานสะอาด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละภูมิภาคโลก |
|
||
|
||
ชาวไร่ ชาวนาในชนบท มีธุรกิจใหม่ ค้าพลังงานแสงอาทิตย์
|
||
|
|
||
|
||
|
||
Energy Hydrogen Technology พัฒนาสู่ระบบสากลทั่วโลกต่อไปอีก
|
||
|
||
|
||
ข้อสรุปโดยภาพรวม เรื่องแนวโน้มด้านพลังงานที่เป็นปัจจัยหลักใน 100 ปี
|
||
|
แนวโน้มด้านพลังงาน ที่เป็นปัจจัยหลัก 2/3
การตั้งถิ่นฐาน สภาพความเป็นอยู่ของมนุษย์ใน 100 ปี ข้างหน้า
ตอน: แนวโน้มด้านพลังงาน ที่เป็นปัจจัยหลัก 2/3
ตอน: แนวโน้มด้านพลังงาน ที่เป็นปัจจัยหลัก 2/3
(Source : http://www.sunflowercosmos.org/climate_change/climate_change_home/inhabited_2.html)
|
ความเหมาะสมและแนวโน้มที่เป็นไปได้ จากข้อมูลการสำรวจ ของสำนักงาน
พลังงานแสงอาทิตย์ พบว่าพื้นที่ในประเทศไทย มีศักยภาพสูงเพียงพอที่จะรับ
รังสีดวงอาทิตย์ ในครัวเรือนทั่วประเทศถึง 99%
โดยตัวเลข รายวันเฉลี่ยต่อปี ในช่วง 19-20 MJ/ตรม.ต่อวัน เท่ากับ 14.3% ของพื้นที่ทั้งประเทศ ในช่วง 18-19 MJ/ตรม.ต่อวัน เท่ากับ 50.2% ของพื้นที่ทั้งประเทศ ในช่วง 17-18 MJ/ตรม.ต่อวัน เท่ากับ 27.9 % ของพื้นที่ทั้งประเทศ ในช่วง 16-17 MJ/ตรม.ต่อวัน เท่ากับ 07.1% ของพื้นที่ทั้งประเทศ ในช่วง 15-16 MJ/ตรม.ต่อวัน เท่ากับ 00.5% ของพื้นที่ทั้งประเทศ เท่ากับมีค่าเฉลี่ยทั้งประเทศ 18.2 MJ/ตรม.ต่อวัน เพราะฉะนั้นนับว่า มีโอกาสใช้ พลังงานแสงอาทิตย์ได้อย่างสม่ำเสมอตลอดปี เกือบทั่วประเทศมีความได้เปรียบ กว่าพลังงานอื่นๆ |
|
||
ความเข้าใจเบื้องต้น เรื่องพลังงานแสงอาทิตย์
|
||
|
||
|
||
ถ้าพื้นผิวที่รับแสงเอียงกระดก ก็มีผลต่อการฉายแสงลงมาบน พื้นผิวตามแนวตรง
จะทำให้ทั้งหมดของการฉายแสง Diffuse radiation ร่วมกับ Direct normal ลงบนพื้นผิวที่เอียงกระดกบวกเพิ่ม กับการสะท้อนกลับจากพื้นด้านล่างเป็นธรรมดาของ
ลักษณะพื้นผิวดังกล่าว
ค่าแสงของรังสีดวงอาทิตย์ ทวีคูณมากขึ้นโดยเฉพาะอยู่ในมุม Zenith (เหนือศีรษะ) เป็นการทำมุมเหมือนตัว T จากนั้นน้อยลงตามลำดับ ตามแนว เหนือ-ใต้ของแกนโลก ลักษณะโดยตรงของผิวพื้นที่เอียงกระดกของโลก เป็นอุปสรรคต่อการฉายแสงแบบ Direct normal ช่วงกลางวันที่ท้องฟ้าไม่มีเมฆ รังสีของดวงอาทิตย์กระจายตัวและถูกดูดกลืนในชั้นบรรยากาศประมาณ 25% เท่ากับมีค่า แสงของรังสีดวงอาทิตย์ เฉลี่ยราวๆ 1,000 Watts/ตรม. เรียกว่า Direct normal irradiance (การส่องสว่างโดยตรงแบบปกติ) หรือลำแสงปกติ (Beam irradiance) ถ้าแสงนั้นมีการกระจัดกระจายส่องจากพื้นผิวโลก กลับสู่อวกาศเรียกว่า Diffuse radiation (รังสีที่พร่ากระจาย) อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดของโลกมีความเกี่ยวข้องกับ ดวงอาทิตย์ไม่ใช่เฉพาะเรื่องแสง ที่ได้รับในรูปแบบพลังงานแสงอาทิตย์ ที่กล่าวถึงเท่านั้น ดวงอาทิตย์มีผลต่อ การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลก มากมายกว่าเข้าใจได้ในขณะนี้ เชื่อว่าพลังงานสนามแม่เหล็กบนดวงอาทิตย์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับฤดูกาลบนโลกอย่างลึกๆมากนานแล้ว ขณะนี้พึงเริ่มการศึกษาว่า หากมีการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กบนดวงอาทิตย์ จะมีผลกระทบอื่นๆบนโลก ต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์หรือไม่ |
|
||
|
||
อนาคตระบบคมนาคม ด้วยพลังงานสะอาดขึ้นตามลำดับ
|
||
ประวัติศาสตร์เรื่องคมนาคม ที่ผ่านมาในระยะ 30 ปีนี้ จาก ค.ศ.1970 ในโลกมีรถยนต์ 200 ล้านคัน ตัวเลขปัจจุบัน ค.ศ.2006 ในโลกมีรถยนต์รวมแล้ว มากกว่า
850 ล้านคัน อนาคตในปี ค.ศ. 2030 คาดว่าจะเพิ่มเป็น 2 เท่า เป็นตลาดใหญ่ด้วยความปรารถนาที่ผู้คนต้องอย่างไม่ยุติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประสบสภาวะเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ หรือราคาน้ำมันโลกพุ่งสูงขึ้น แต่เราต้องมีพื้นที่สำหรับด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยมีการคมนาคมเป็นสิ่งเชื่อมโยง รูปแบบสามารถพบเห็นการปรับเปลี่ยนในขณะนี้ คือ การเปลี่ยนไปใช้ก๊าซ การใช้น้ำมันจากพืช เช่น น้ำมันจากถั่วเหลือง จากข้าวโพด ปาล์ม แต่ปัจจัยใช้จากพืชจะมีผลกระทบ ในการสูญเสียพื้นที่ปลูกพืชอาหารสำหรับมนุษย์ำไปด้วย ค่าเฉลี่ยในการเดินทาง ต้องลดลงจากการใช้พลังงานครึ่งหนึ่ง ด้วยรถรางหรือรถไฟฟ้าแทนรถยนต์ สถานการณ์ข้างหน้า การปฏิวัติพลังงานรถยนต์ เกิดขึ้นอย่างหลีกเหลี่ยงไม่ได้ แม้ในวันนี้ มีแต่รถขนาดเล็กราคายังสูง สมรถนะความเร็วและระบบต่างๆเริ่มสมบูรณ์ขึ้น ตามลำดับ |
|
||
|
||
ภาพรวมของการคมนาคม มิใช่เฉพาะในเขตเมืองเท่านั้น ที่มีความสำคัญ อนาคตของการแสวงหาหาอาหารจากทะเล มหาสุมทร จะสิ้นเปลืองค่าเชื้อเพลิงมากมาย
ต่อไปเมื่อทรัพยากรในทะเลน้อย หายากขึ้น การใช้เวลาในเส้นทางคงต้องเพิ่มขึ้น
ค่าใช้จ่ายขึ้นอีกมาก รวมถึงระบบขนส่งทางทะเลที่เชื่อมโยงส่งสินค้ากัน อาจเห็นเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ ใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพื่อลดต้นทุนแทนน้ำมัน
นอกจากพลังงานที่ได้จากดวงอาทิตย์ ในศตวรรษนี้แล้ว สิ่งที่ยังมีมากมายจนใช้ไม่มีวันหมดตราบใด ในจักรวาลยังคงอยู่คือ Hydrogen ซึ่งมีน้ำหนักเบากว่าธาตุทั้งมวล วันนี้พบว่าเกิดเป็นไอจากการเปลี่ยนแปลงของก๊าซมีเทน มีมากในน้ำและก๊าซธรรมชาติ ใน 1 แกลลอน Hydrogen (-253 องศา) มีน้ำหนัก 0.27 Kg. น้ำมันหนัก 2.72 Kg. หากในปริมาตรน้ำหนัก 1 ปอนด์ (0.45 Kg.) เท่ากัน รถที่ใช้น้ำมันเดินทางได้เพียง 19 กิโลเมตร รถที่ใช้ Liquid Hydrogen เดินทางได้ถึง 53 กิโลเมตร (เป็นตัวเลขในการทดลอง) สามารถนำมาประดิษฐ์รูปแบบใหม่ เรียกว่า Hydrogen fuel cell ใช้กับรถยนต์ได้ แล้วจะเป็นพลังงานที่น่าสนใจ ในที่สุดจะนำมาใช้กับระบบบ้านอยู่อาศัยได้เช่นกัน เป็นหนทางเลือกแห่งอนาคต |
|
||
|
||
|
||
|
||
|
||
การพัฒนาการขั้นต่อไปเพื่ออนาคต ให้ง่าย และสะดวกขึ้น
|
||
|
|
||
|
||
|
||
|
||
|
||
|
||
|
||
|
||
แนวโน้มด้านพลังงาน ที่เป็นปัจจัยหลัก 1/3
การตั้งถิ่นฐาน สภาพความเป็นอยู่ของมนุษย์ใน 100 ปี ข้างหน้า
ตอน: แนวโน้มด้านพลังงาน ที่เป็นปัจจัยหลัก 1/3
ตอน: แนวโน้มด้านพลังงาน ที่เป็นปัจจัยหลัก 1/3
( Source : http://www.sunflowercosmos.org/climate_change/climate_change_home/inhabited_1.html )
|
ปัจจัยหลักการดำรงชีพ พลังงานเป็นสิ่งที่จำเป็นมากที่สุด เดิมด้วยพัฒนาการของมนุษย์จากอดีตที่อยู่ในถ้ำ มีความจำเป็นเพียงใช้พลังงาน สำหรับหุงต้มหาอาหารความฉลาด ของมนุษย์ต่อมาทำให้ มีความสามารถนำพลังงานต่างๆ ตั้งแต่ฟืน ถ่าน ถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซ มาใช้อำนวยความสะดวกสบาย ด้านต่างๆมากขึ้น เช่น ผลิต เป็นพลังงานไฟฟ้า หรือ สำหรับยานพาหนะเพื่อคมนาคม ตามลำดับ
จากป่าไม้นำมาใช้เป็นฟืน ถ่านเริ่มหมดไป ปัจจุบันน้ำมันดิบเริ่มพร่องไปอีกคาดว่าราว 60 ปี ข้างหน้าอาจเกิดขาดแคลน ส่งผลกระทบต่อประชากรโลกได้รุนแรงขึ้น แม้ว่าวันนี้ถ่านหิน และก๊าซ อาจยังพอมีอยู่ แต่ภายในอีกไม่กี่ร้อยปี จะเข้าสู่ภาวะขาดแคลนเช่นกัน สิ่งที่ประจักษ์ก่อนที่จะขาดแคลนไปทั้งหมด เข้ามาเกี่ยวข้องคือ ปัญหาของเรื่อง การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลก ปริมาณเผาผลาญพลังงานเชื้อเพลิง ประเภทฟอสซิลปริมาณสูงขึ้นมาก ก๊าซคาร์บอนเป็นปรากฏการณ์ ปฏิกิริยาเรือนกระจก ทำให้อุณหภูมิโลกสูง จึงเกิดการรณรงค์เพื่อให้ ลดการใช้พลังงานที่เป็นปัญหาต่อ โลก มีแนวโน้มเข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ จากประชาคมโลก แม้ว่าเราอาจมีพลังงานน้ำจากเขื่อน เพื่อผลิตเป็นกระแสไฟฟ้า ก็ไม่เพียงพอต่ออัตราการ เพิ่มอย่างรวดเร็วของประชากร การสร้างเขื่อนเพิ่ม เป็นประเด็นมีฝ่ายที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย ตลอดเวลา ด้วยเรื่องที่อาจกลายเป็นการทำลายระบบนิเวศอันเหลืออยู่อย่างน้อยนิด ในแต่ละประเทศเมื่อเทียบอัตราส่วนประชากร ทางออกเรื่องสร้างโรงฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ยังมีการคัดค้าน อย่างกว้างขวางมาก เนื่องจากมีอัตราความเสี่ยงสูง ต่อเนื่องอีกนับหลายพันปี ของกัมมันตรังสีซึ่งไม่สามารถทำลายให้สิ้นซาก เป็นทางออกเริ่มตีบตัน ต่อการหาพลังงานทดแทน ด้วยเหตุผลดังกล่าว หากเกิดการยุติหมดลง ของเชื้อเพลิง และหาทางออกใหม่ไม่ได้ชัดเจน ประชากรต้องประสบวิกฤต เรื่องพลังงาน ส่งผลต่อไปยังระบบการดำรงชีพอย่างแน่นอน |
|
||
|
||
|
||
Solar Cells เป้าหมายแรก พลังงานทดแทนในอนาคต |
ย้อนกลับไปเมื่อ ค.ศ. 1953 ด้วย Bell telephone มีปัญหาระบบโทรคมนาคม ขณะนั้น ต้องการที่จะใช้แบตเตอรี่ชนิดแห้ง จึงมอบหมายให้ Bell laboratories ทำการทดลองว่าสามารถ จะเก็บประจุไฟฟ้าได้หรือไม่ ปรากฏว่าค้นพบว่า
สามารถเก็บกักไว้ได้ใน Solar cells จึงเกิดแนวคิดต่อเนื่อง ทดลองพบว่า ธาตุ Selenium solar cells ขนาด 1 ตรม. สามารถเก็บไฟฟ้าได้ 5 watts ซึ่งยังน้อย แต่นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นครั้งแรก ภายหลังมีการพัฒนาจนพบว่า ธาตุ Silicon มีคุณสมบัติดีกว่า ท้ายสุด ค.ศ. 1954 ได้ทดลองสำเร็จและสร้างเป็น PV module เป็นครั้งแรกของโลกถือว่าถือว่าเป็นยุคเริ่มต้น ในการใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ และได้นำมาใช้กับดาวเทียม ยานสำรวจ อวกาศ หุ่นยนต์ขนาดเล็ก ส่งไปสำรวจพื้นผิวดาวเคราะห์ต่างๆ ปัจจุบันยังสามารถ ใช้งานได้ปกตินับหลายปีต่อเนื่อง |
|
||
|
||
พลังงานแสงอาทิตย์คือ ทางออกที่ปลอดภัย แต่ลงทุนสูงจริงหรือ |
||
ความกระตือรือร้น ของการเตรียมการเรื่องพลังงานนับวันยิ่งเข้มข้นขึ้น คำตอบส่วนใหญ่ มุ่งไปที่พลังงานจาก ดวงอาทิตย์ พลังงานจากไบโอดีเซล พลังงานจากลม พลังงานน้ำจากเขื่อน ปัญหาคือ อะไรเหมาะ อะไรดีกว่าอะไร
ประเด็นสำคัญต้องย่อมรับคำว่า เคยชินและสะดวก แน่นอนตลอด 100 ปี ความสะดวกสบายด้วยพลังงานไฟฟ้าและน้ำมัน หากเป็นพลังงานชนิดอื่น จำต้องลดความสะดวก เช่น ก่อนหน้านี้คือ พลังงานไอน้ำ การจำยอม ซื้อหาพลังงานที่แพงขึ้นจากผู้ผลิต เพราะน้ำมัน ก๊าซ มีไม่พอเพียงและไม่มากเหมือนเดิมแล้ว คงปฏิเสธไม่ได้ว่า โดยหลายประเทศส่วนใหญ่ แม้แต่ประเทศไทย ก็มิได้นิ่งนอนใจกับปัญหาการขาด แคลนพลังงาน ทางออกอยู่หลายวิธี ทั้งนี้คงขึ้นกับองค์ประกอบของฐานะการลงทุน หรือคำนึงถึงสภาพแวดล้อม ที่อาจได้รับผลกระทบในด้านต่างๆมากน้อยเพียงใด ในประเทศอเมริกา The world's largest solar thermal power plant ได้เริ่มมาตั้งแต่ปี ค.ศ.2000 มีเป้าหมาย สร้างแผงรับพลังงานจากดวงอาทิตย์ (Photovoltaics) เรียกว่า PV บริเวณ Southwest จำนวน 30,000 ตารางไมล์ให้แล้วเสร็จภายในปี 2050 ผลิตเป็นกระแสไฟฟ้าทดแทนจากการใช้น้ำมัน หากสามารถผลิตได้เกินความต้องการ จะทำการเพิ่มความดันอัดเก็บไว้ในโพรงถ้ำใต้ดิน สามารถนำมาใช้ใหม่ได้เป็นเทคโนโลยี่ใหม่ จะพัฒนาให้สมบูรณ์ภายในปี ค.ศ. 2020 เช่นกัน |
|
||
มีแผนการณ์ ร่วมกันนำเอาพลังงานจากดวงอาทิตย์ ในรูปแบบต่างๆ
มาผสมผสานกันดังนี้ 1. Technology Photovoltaics (เซลล์แสงอาทิตย์) มีเป้าหมายเรียกว่า Solar farms บนพื้นดิน 30,000 ตารางไมล์ จะได้กระแสไฟฟ้า 2,940 GW 2. Technology Compressed-Air Energy storage (การเพิ่มความดันพลังงานที่ได้จากเซลล์แสงอาทิตย์) ไว้ในโพรง ถ้ำใต้ดิน 535 ล้านลูกบาศก์ฟุต โดยสามารถนำกลับมาใช้สำหรับกลางคืน ได้ 558 GW 3. Technology Concentrated Solar power (การรวมพลังงานเซลล์แสงอาทิตย์จากแหล่งอื่น) มีเป้าหมาย บนพื้นดิน 16,000 ตารางไมล์ จะได้กระแสไฟฟ้า 558 GW โดยรวมแล้วสามารถขยายรองรับการปล่อย กระแสไฟฟ้าแรงสูงแบบใหม่(New High-voltage DC) ยาวได้ระหว่าง 100,000-500,000 ไมล์ ว่ากันตามจริงแล้ว ในหลายประเทศนั้นได้นำพลังต่างๆ จากธรรมชาติมาใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า นับกันมากกว่า 10-20 ปีขึ้นไป และไม่ได้สร้างปัญหาผลกระทบดังทุกวันนี้ ตัวอย่างจากนับหลายสิบแห่ง เช่น |
Virginia - Pumped storage station |
|
Itaipu - Hydro power station |
|
||
La Rance - Tidal power plant | ||
|
||
Offshore wind farms | ||
|
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)