นักวิชาการ- เอกชนประสานเสียงสนับสนุนให้ชุมชนเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าหมุนเวียนในท้องถิ่น ระบุสร้างการจ้างงาน และสร้างทางออกปัญหาต้านโรงไฟฟ้า
วันนี้ ( 17 มิ.ย.) กรุงเทพธุรกิจ ร่วมกับสถาบันวิจัย
พลังงานจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดสัมมนาเรื่อง “สมดุล
พลังงานไฟฟ้า เพื่อเศรษฐกิจและสังคมยั่งยืน” ที่ รร.พิมาน จ.นครสวรรค์
นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ ผู้อำนวยการสำนักไฟฟ้า สำนักงานนโยบายและแผน
พลังงาน (สนพ.)เปิดเผยว่าในสังคมยุคปัจจุบัน การสร้าง
โรงไฟฟ้าในจุดใดไม่ได้อยู่ที่การตัดสินใจของระบบราชการแล้ว แต่อยู่ที่การมีส่วนร่วมของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ 2550 และพรรคการเมืองที่มาเป็นรัฐบาลเป็นคนตัดสินใจ สำหรับราชการเป็นกลไกของรัฐบาลในการเสนอข้อมูลทางเลือกต่างๆขึ้นไปเท่านั้น
“ตอนนี้หากชาวบ้านไม่เอานิวเคลียร์ และต้องการให้การผลิตไฟฟ้าจาก
พลังงานหมุนเวียนเข้าระบบให้มากขึ้น ก็ต้องเลือกพรรคการเมืองที่ประกาศนโยบายที่สอดคล้องกับความต้องการ เพื่อให้มาเป็นรัฐบาล จะได้ตัดสินใจดำเนินนโยบายที่ตรงกับความต้องการของเรา “ นายเสมอใจ กล่าว
เขา กล่าวต่อว่า กระทรวง
พลังงานไม่ได้มุ่งส่งเสริม
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และถ่านหินเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจาก
พลังงานหมุนเวียนไปพร้อมกันด้วย แต่เนื่องจากต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจาก
พลังงานหมุนเวียนอยู่ในระดับสูง เช่น
พลังงานแสงอาทิตย์ต้นทุนอยู่ที่ 12-14 บาทต่อหน่วย ขณะเดียวกันประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าก็จำกัด โดยโครงการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ 1 เมกะวัตต์ผลิตไฟฟ้าได้จริง 15 % เท่านั้น เพราะศักยภาพไม่ใช่อยู่ที่แดดแรงหรือไม่ แต่อยู่ที่ความเข้มของแสงที่มาตกกระทบ ซึ่งหากเทียบกับประเทศในแถบทะเลทรายแล้ว ต้องถือว่าประเทศไทยไม่ได้มีศักยภาพมากนัก
อย่างไรก็ตามขณะนี้สนพ.อยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อปรับปรุงมาตรการส่งเสริมจากการให้อัตราส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า หรือ Adder มาเป็นระบบ Feed in Tariff เพื่อให้แรงจูงใจสอดคล้องกับความเป็นจริงมากขึ้น ด้วยการกำหนดให้ส่วนเพิ่มค่าไฟฟ้าคงที่ตลอดอายุ
โรงไฟฟ้า จากระบบ Adder ที่ให้ส่วนเพิ่มโดยบวกจากค่าไฟฟ้าฐาน ทำให้ผู้ประกอบการได้ประโยชน์สูงเกินไป เนื่องจากค่าไฟฟ้าฐานปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในภาพรวมจะปรับลดส่วนเพิ่มค่าไฟฟ้าในส่วนของการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ เนื่องจากขณะนี้ต้นทุนการผลิตต่ำลง และจะปรับเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจาก
พลังงานหมุนเวียนที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ เช่น ขยะ เป็นต้น
นายเสมอใจ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาได้เสนอให้สร้างกลไกให้ประชาชนในแต่ละครัวเรือนสามารถระบุได้ว่า ประสงค์จะใช้ไฟฟ้าจาก
พลังงานหมุนเวียนหรือไม่ หากสนับสนุนก็พร้อมจะดึงเข้าระบบ แต่ค่าไฟฟ้าจะสูงขึ้นกว่าครัวเรือนที่ไม่ต้องการใช้ไฟฟ้าจาก
พลังงานหมุนเวียน ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างระบบมารองรับกลุ่มคนที่พร้อมให้การสนับสนุน
พลังงานหมุนเวียนโดยตรง
นายเดชรัต สุขกำเนิด อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่าความยากในการสร้าง
โรงไฟฟ้า คือการทำให้เกิดความสมดุลระหว่างผู้ที่ได้ประโยชน์จาก
โรงไฟฟ้ากับผู้ที่ได้รับผลกระทบ
ดังนั้นจึงวิธีการปรับสมดุล คือ ชุมชนจะต้องหันมาเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าใช้เองได้ด้วย โดยใช้วัตถุดิบ หรือศักยภาพที่มีในท้องถิ่น เช่น ผลิตไฟฟ้าจากชีวมวล ลม หรือแดด ซึ่งแนวทางนี้จะช่วยให้เกิดการจ้างงานเพิ่มในท้องถิ่นด้วย
ทั้งนี้จากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเมื่อ 1 ปีก่อนพบว่าหากมีการสนับสนุน
พลังงานหมุนเวียนแล้ว ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 2-4 % ประชาชนและอุตสาหกรรมยอมรับได้ ดังนั้นรัฐต้องนำประเด็นนี้มาพิจารณาด้วย
สำหรับ
พลังงานทดแทนนั้น ที่ผ่านมาพบว่ามีศักยภาพเพิ่มขึ้น จากเมื่อ 10 ปีก่อนภาครัฐบอกว่าสามารถทำได้ 1,100 เมกะวัตต์เท่านั้น แต่ปัจจุบันทำได้เพิ่มกว่า 2,000 เมกะวัตต์แล้ว ดังนั้นทุกอย่างขึ้นอยู่กับกระบวนการเรียนรู้และวิธีรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
ยกตัวอย่างในประเยอรมนี ขณะนี้มีแผนชัดเจนที่จะเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจาก
พลังงานหมุนเวียนทดแทนในอีก 40 ปีให้มีสัดส่วนเป็น 80 % และยกเลิกการผลิตไฟฟ้าจากนิวเคลียร์ จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนการผลิตที่ 23 % โดยมีแผนจะปิด
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์โรงสุดท้ายในอีก 11 ปีข้างหน้า จากเดิมที่มี 17 โรง และปิดไปแล้ว 8 โรงเหลืออีก 6 โรงสุดท้ายที่จะทะยอยปิดต่อไป ซึ่ง
โรงไฟฟ้าที่จะมาทดแทนนิวเคลียร์นั้นจะเน้นการผลิตใช้เองในประเทศ และจะนำเข้าเพียง 3 %
อย่างไรก็ตามการพัฒนา
พลังงานหมุนเวียนในเยอมนีมีปัญหาเช่นเดียวกัน เพราะ
โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนก็ส่งผลกระทบ แต่ได้มีการแก้ปัญหาด้วยการให้ชุมชนเป็นเจ้าของ
โรงไฟฟ้า ส่วนสายส่งไฟฟ้าที่ต้องวางรองรับการผลิตไฟฟ้าจาก
พลังงานหมุนเวียนนั้น ในช่วงเวลา 10 ปีสามารถวางไปได้เพียง 80 กม.จากที่ต้องวางทั้งหมด 800 กม. เนื่องจากไปกระทบชุมชน จึงมีแนวทางที่จะเปลี่ยนมาเป็นสายส่งใต้ดินแทน
ดังนั้น
โรงไฟฟ้ามีโอกาสที่จะได้รับการยอมรับจากประชาชน หากมีการปรับวิธีการต่างๆให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการ และต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการกำหนดแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า หรือพีดีพี เพื่อให้ประชาชนรับรู้ตั้งแต่ต้น ว่าจำเป็นต้องมี
โรงไฟฟ้าในจุดใดบ้าง อีกทั้งจะต้องมีข้อมูลแสดงให้ประชาชนเห็นและยอมรับได้ว่า
โรงไฟฟ้าจาก
พลังงานฟอสซิล เช่น ถ่านหิน สามารถแก้ไขจุดบกพร่องไม่ให้
โรงไฟฟ้าส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ด้านนายมนูญศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้าน
พลังงาน กล่าวว่า การจัดหา
พลังงานให้เพียงพอกับความต้องการในประเทศนั้น จะต้องพิจารณา
พลังงานทุกประเภทอย่างรอบด้าน ทั้ง
พลังงานหมุนเวียน การประหยัด
พลังงาน ขณะที่
พลังงานอื่นก็ละเลยไม่ได้เช่นเดียวกัน ทั้งถ่านหิน และนิวเคลียร์ เพื่อรองรับหากไม่สามารถลดการใช้
พลังงานให้สอดคล้องกับความต้องการใช้
พลังงานที่เพิ่มตามจีดีพีของประเทศ ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ปฏิเสธการพัฒนาเทคโนโลยีด้วย
นายวิสูตร จิตสุทธิภากร ประธานสภาอุตสาหกรรม จังหวัดนครสวรรค์ กล่าวว่า ไฟฟ้าเป็นสิ่งจำเป็นของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม และขนส่ง ขณะเดียวกันก็มีทางเลือกในการผลิตไฟฟ้ามากมาย แต่คำถามคือ ใครเป็นคนเลือก ทั้งต้องนึกถึงความมั่นคงในระบบไฟฟ้าสำหรับลูกหลานในอนาคตด้วย อย่างไรก็ตามก็ต้องคำนึงถึงความสมดุลด้วย ซึ่งการให้ประชาชนเป็นเจ้าของ
โรงไฟฟ้าก็เป็นทางออกของปัญหาต่างๆได้
“ตอนนี้สิ่งที่ภาคเอกชนกังวล คือไฟฟ้าตกดับ เพราะสร้างผลกระทบให้กับภาคอุตสาหกรรมอย่างมาก ขณะที่ประชาชนก็กังวลว่าจะมี
โรงไฟฟ้าในพื้นที่ แต่คำถาม คือในอีก 10 ปี ลูกหลานเราจะใช้ไฟฟ้ากันอย่างไร “ นายวิสูตร กล่าว
นายปิยะพงศ์ กฤชภากรณ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทไทยเสรีเจนเนอเรติ้ง จำกัด กล่าวว่า
โรงไฟฟ้าจำเป็นในการพัฒนาประเทศ ดังนั้นเมื่อ
โรงไฟฟ้าสร้างประโยชน์มากกว่า ผู้ที่ได้ประโยชน์จะต้องออกมาช่วยกันสนับสนุน
อย่างไรก็ตามการพัฒนา
โรงไฟฟ้าก็ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมด้วย เช่น การที่กำหนดให้ อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ เป็นหนึ่งในเป้าหมาย
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์นั้น หากพิจารณาให้ดีแล้วจะพบว่า รอบๆพื้นที่ปลูกข้าว ดังนั้นหากเกิดปัญหาขึ้น ย่อมเกิดการปนเปื้อน และส่งผลกระทบในที่สุด ขณะที่ภาคใต้อาจเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมกว่า
รัฐต้องสนับสนุน
โรงไฟฟ้าที่ไม่สร้างผลกระทบ เช่น
โรงไฟฟ้าชีวมวล ซึ่งสามารถใช้เทคโนโลยีจนไม่ปล่อยมลพิษออกไปนอก
โรงไฟฟ้า ทั้งควัน และฝุ่น ขณะเดียวกันก็มี
พลังงานหมุนเวียนบางประเภทที่รัฐต้องสนับสนุนอย่างจริงจังต่อไป เช่น ขยะ
นายสราวุธ ทองถาวรวงศ์ กำนัน หมู่ 1 ต.พินมรอก อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ กล่าวว่า หากต้องจ่ายค่าไฟฟ้าแพงขึ้นเป็น 7 บาทต่อหน่วยจากการใช้
พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น ย่อมคุ้มค่ากว่าเมื่อเทียบกับการมี
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ แต่ต้องเจอเหมือนกับกรณีของ
โรงไฟฟ้าฟูกูชิมะ ประเทศญี่ปุ่น ที่สร้างความเสียหาย และจะทำให้คนญี่ปุ่นจำนวนมากเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวในอนาคต
นอกจากนี้ในการพัฒนา
โรงไฟฟ้าในจุดใดจุดหนึ่งในต่างจังหวัด โดยเฉพาะ
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์นั้น ขอให้ทุกฝ่ายพิจารณาด้วยว่า ชาวบ้านในต่างจังหวัดใช้ไฟฟ้ากันเท่าใดเมื่อเทียบกับห้างใหญ่ในกทม.อย่างพารากอน
“กฟผ.เคยบอกว่า นิวเคลียร์มีความปลอดภัยมาก โดยหากเกิดการรั่วไหลขึ้น ชาวบ้านสามารถหลบในบ้านแล้วก็จะปลอดภัย แต่ในไทยคงต่างจากญี่ปุ่นแน่นอน เพราะบ้านของชาวบ้านแถบจะไม่มีฝาบ้านด้วยซ้ำไป “นายสราวุธ กล่าว
เขา กล่าวอีกว่า รัฐบาลควรนำเงินจากการประชาสัมพันธ์นิวเคลียร์ 1,800 ล้านบาทมาพัฒนา
โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ประกอบกับทุกฝ่ายช่วยกันประหยัด โดยเฉพาะห้างสรรพสินค้าหากปิดเร็วขึ้นก็เชื่อว่าลดการใช้ไฟฟ้าได้กว่า 50 % แล้ว
“เราเลือกที่จะอยู่แบบไม่ต้องรวย สามารถใช้เทียนได้ หากเราแวดล้อมไปด้วยคนในครอบครัวที่มีสุขภาพแข็งแรง “ นายสราวุธ กล่าว
นายชัยโรจน์ มีแดง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ กล่าวว่าในการวางแผน
พลังงานของประเทศนั้น จะต้องประสานความร่วมมือของทุกฝ่าย และต้องเห็นพ้องจากประชาชน โดยเชื่อมั่นว่าหากทุกฝ่ายมีการพูดคุยและหารือแล้ว แผน
พลังงานที่ออกมาจะสร้างความมั่นคง และยั่งยืนอย่างแท้จริง และจะทำให้การพัฒนาประเทศเดินไปได้
source :
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/business/20110617/396046/ชี้ทางออกวิกฤติพลังงาน-หนุนชุมชนเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้า.html