การเกษตรต้องมีความยั่งยืน และสร้างรายได้ให้ชุมชนอย่างต่อเนื่อง และนี่คือเกษตรทฤษฎีใหม่
ความกระตือรือร้นที่ต้อง
การให้ผลผลิตทันฤดูเก็บเกี่ยว ทำให้เกษตรกรหลายรายต้องการทางลัด
โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อธรรมชาติและความเป็นอยู่
ทำให้เกิดปัญหาโลกร้อน จึงมีการนำเสนอแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่
ไม่ทำลายสภาพแวดล้อม โดยมูลนิธิปิดทองหลังพระ ร่วมกับชมรมสื่อบ้านนอก
ส่งเสริมแนวทางเกษตรพอเพียง
ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา กล่าวว่า
พระองค์ท่านบอกเสมอว่า เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม
เพื่อความมั่งคั่งมั่นคงของประเทศ
เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้พระองค์ท่านถูกอบรมมาอย่างดีในการคิดไตร่ตรองสิ่ง
ต่างๆหรือทำสิ่งใดเพื่อประชาชนคนไทย
"สิ่งที่พระองค์ท่านบอกแก่ข้าราชบริพารหรือผู้ที่ทรงรับใช้ถวายงานเป็น
ประจำก็คือ การจัดตั้งโครงการต่างๆ ให้พึงระวัง
อย่าแย่งงานหน่วยงานราชการทำ 60 ปีในพระราชดำริของพระองค์ท่าน
พื้นที่ส่วนใหญ่ที่เข้าไปจัดตั้งโครงการก็คือ พื้นที่กลุ่มเสี่ยง เช่น
ภัยแล้ง น้ำท่วม พื้นที่ขาดแคลนและพื้นที่ที่มีปัญหาสิ่งแวดล้อม
ทำโครงการระยะสั้นใช้เวลาเพียง1 ปี”
เมื่อโครงการประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง
ผู้ที่ต้องดำเนินรอยตามพระราชดำริ ก็คือ ประชาชน
พระองค์ท่านมีความประสงค์จะสร้างเครือข่ายให้ประชาชนสอนกันเอง และที่ศูนย์ฯ
ของมูลนิธิชัยพัฒนา มีทุกอย่างให้ประชาชน ทั้งเรื่องดิน ป่า น้ำ และสัตว์
เมื่อประชาชนมาที่นี่ มีความสะดวกในการสอบถาม
ปรึกษาหรือนำตัวอย่างดินมาตรวจ รวมทั้งมาขอกล้าไม้ไปปลูก ไม่ต้องลำบาก
สถานที่แห่งนี้สามารถเลือกอบรมการทำเกษตรยั่งยืนได้ หลักสูตร 7 วันหรือ 15
วัน ก็ได้รับความรู้ พร้อมพันธุ์ไม้ไปต่อยอดในอนาคต
โดยเฉพาะที่ศูนย์การศึกษาพัฒนาห้วยทราย
เลขาธิการมูลนิธิฯ เล่าต่อว่า สาเหตุที่ตั้งชื่อห้วยทราย
เพราะความแห้งแล้ง ทำให้ห้วยกลายเป็นทราย
ประกอบกับที่นั่นมีเนื้อทรายจำนวนมาก และในหลวงทรงมีพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า
“หากปล่อยทิ้งไว้จะกลายเป็นทะเลทรายในที่สุด”
เพราะเหตุนี้จึงเข้ามาฟื้นฟูอย่างจริงจัง
พระองค์ท่านต้องการให้เป็นไปตามกลไกธรรมชาติ ฟื้นฟูสภาพดิน น้ำ ป่า
และสัตว์ มีแหล่งที่อยู่อาศัย ประชาชนสามารถปลูกพืชผักต่างๆ ได้
"สิ่งสำคัญที่ทางโครงการหวังไว้ ก็คือ
อยากให้เกษตรกรเลิกทำเกษตรเชิงเดี่ยว หันมาทำเกษตรผสมผสานหรือทฤษฎีใหม่
เพราะเมื่อขาดแคลนทุนในการดำเนินชีวิต
สามารถปลูกพืชเลี้ยงสัตว์หมุนเวียนหารายได้จากการขายผลผลิตแทนได้”
ดร.สุเมธ กล่าวอีกว่า
มีคนถามหลายครั้งถึงแรงบันดาลใจในการทรงงานของในหลวง
พระองค์ท่านทรงตรัสเมื่อครั้งที่เสด็จไปต่างประเทศครานั้น
ถ้าประชาชนไม่ทิ้งเรา เราก็ไม่ทิ้งประชาชน สิ่งนี้ที่พระองค์ท่าน
ยังยึดไว้เสมอ หน้าที่ของพระมหากษัตริย์ทรงเป็นตลอด 24 ชั่วโมง
เป็นทั้งหน้าที่และความรับผิดชอบที่ต้องทำ”
สำหรับ โครงการวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย จังหวัดเพชรบุรี
หนึ่งในโครงการในพระราชดำริ ทรงเริ่มให้ก่อตั้งเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2533
ที่นี่ คือ แหล่งบำบัดน้ำเสียและขยะในธรรมชาติมาใช้กับธรรมชาติ เช่น
การนำพืชหรือหญ้ามากรองน้ำเสีย อย่าง ธูปฤาษี กกกลม
และหญ้าแฝกอินโดนีเซียเป็นตัวกรองน้ำเสีย
หรือระบบแปลงป่าชายเลนใช้การบำบัดที่เจือจางระหว่างน้ำทะเลกับน้ำเสีย
ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้กับชุมชนหรือการเพาะเลี้ยงกุ้งที่มีพื้นที่ติดป่าชาย
เลนได้ สิ่งเหล่านี้เป็นการดำเนินงานเพื่อเป็นตัวอย่างให้ประชาชน
และสามารถนำน้ำดีที่บำบัดแล้วไปใช้ได้ต่อไป
ทางด้านโครงการอนุรักษ์พลังงานและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
โครงการผลิตไบโอดีเซล
เป็นอีกโครงการที่พระองค์ท่านทรงเป็นผู้ริเริ่มคิดค้นและพัฒนา
ทรงคำนึงถึงภาวะของพลังงานที่จะหมดลงในอนาคต
สิ่งนี้ทำให้ประชาชนประจักษ์แล้วว่า
ในหลวงของปวงชนชาวไทยทรงเป็นแนวทางที่ยิ่งใหญ่และมีแนวคิดที่กว้างไกล
โครงการผลิตไบโอดีเซล ตั้งอยู่ที่พื้นที่ปลูกป่าชัยพัฒนา-แม่ฟ้าหลวง
อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เป็นโรงงานสกัดน้ำมันพืชและผลิตไบโอดีเซลครบวงจร
เมื่อได้น้ำมันปาล์มดิบที่ได้จากกระบวนการจากโรงงาน
จึงนำมาผลิตเป็นไบโอดีเซล การผลิตไบโอดีเซลของที่นี่จะหลีกหนีปัญหาน้ำเสีย
และน้ำมันพืชใช้แล้วในการผลิตมาจากโรงแรมแถวอำเภอหัวหิน
จ.ประจวบคีรีขันธ์และอ.ชะอำ จ.เพชรบุรี
ใจ ยินดี เจ้าหน้าที่ควบคุมเครื่องตีลูกปาล์ม อาชีพเดิมทำงานโรงงาน กระทั่งมีโอกาสมาทำงานโรงงานผลิตไบโอดีเซล
"ทำ มาได้ 5 ปีแล้ว ไม่คิดว่าปาล์มจะทำไบโอดีเซลได้ แต่เมื่อผมมาทำ จึงได้รู้ว่ากระบวนการผลิตเป็นอย่างไร งานที่นี่เป็นอาชีพที่มั่นคง”
ทางด้าน ประนอม แซ่เล้า วัย 64 ปี ทำงานที่โรงงานผลิตไบโอดีเซล
กล่าวเเสริมว่า "แต่ก่อนผมทำเซรุ่มแก้พิษงูอยู่โรงงานรั้วติดกันนี่เองครับ
เมื่อเกษียณแล้ว มีหัวหน้างานชวนมาทำงานที่นี่ ทำมาได้ปีกว่า
โครงการนี้ช่วยให้ชาวบ้านมีความรู้และปลูกปาล์มเพื่อขายให้โรงงานผลิตไบโอ
ดีเซล คุณภาพชีวิตก็ดีขึ้น
ที่บ้านผมไม่ได้ปลูกครับเพราะเนื้อที่ในการปลูกปาล์ม ต้องใช้พื้นที่ 50-60
ไร่ หรือ 100 ไร่ ปาล์มต้องให้น้ำอย่างเพียงพอและที่สำคัญต้องดูแลอย่างดี
ผลของปาล์มสามารถเก็บได้เรื่อยๆ เหมือนมะพร้าว
ที่นี่ผลิตไบโอดีเซลได้ประมาณ 400 ลิตร/วัน
แล้วแต่จำนวนปาล์มที่สามารถผลิตได้และกำลังคน คนงานมีประมาณ 11-12
คนที่ทำงานที่โรงงาน
ส่วนการแปรรูปเป็นสบู่หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆก็จะมีคนงานและผู้เชี่ยวชาญอีกส่วน
หนึ่งทำหน้าที่นี้ ส่วนพวกกากปาล์มหรือทะลายปาล์มสามารถนำไปทำเป็นปุ๋ย
อาหารสัตว์ นอกจากนี้ยังใช้ในการเพาะเห็ดฟาง
ะลดรายจ่ายให้เกษตรกรเป็นอย่างมาก ”
การผลิตไบโอดีเซล
นอกจากให้พลังงานที่มีคุณภาพและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแล้ว
ยังก่อให้เกิดอาชีพและรายได้แก่คนในชุมชน
และเกษตรกรที่ทำสวนปาล์มเพื่อส่งขายให้แก่โรงงานผลิตไบโอดีเซลอีกด้วย
ซึ่งมีหลายแห่งที่เริ่มดำเนินโครงการตามพระราชดำริ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น