โล่งใจไปตามๆ กันเมื่อราคาน้ำมันโลกปรับลดลง
และทำให้ราคาน้ำมันในประเทศทยอยลดตามมาเรื่อยๆ นับเป็นการปรับลดราคาลง 6
ครั้งแล้วภายใน 1 เดือน
จนทำให้ปัญหาการต่อคิวขอปรับขึ้นราคาสินค้าและค่าโดยสารทั้งแท็กซี่
รถโดยสารสาธารณะต่างๆ เป็นอันต้องแตะเบรกกันเป็นแถว
เพราะไร้ซึ่งข้ออ้างจะขอขึ้นราคาต่อไปได้
แต่ที่ยังโล่งใจไม่ได้...ก็คือตัวก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์ (เอ็นจีวี)
นี่แหละ ที่กระทรวงพลังงานยังกุมขมับจะเอาไงดีกับโครงสร้างราคา...?
แม้รัฐบาลจะประกาศตรึงราคาเอ็นจีวีไว้ที่ 10.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็นเวลา 3
เดือน นับตั้งแต่ 16 พ.ค.-16 ส.ค.นี้ก็ตาม แต่ในช่วง 3 เดือนนี้
กระทรวงพลังงานนำทัพโดย นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รมว.พลังงาน
จำเป็นต้องเร่งหาตัวเลขต้นทุนราคาเอ็นจีวีที่แท้จริงให้ได้ก่อนที่จะกลับมา
ขึ้นราคา 50 สตางค์ ทุกวันที่ 16
ของแต่ละเดือนอีกครั้งภายหลังหมดระยะเวลาการตรึงราคาของรัฐบาลในเดือน
ส.ค.2555 นี้
สาเหตุที่ต้องเร่งหาตัวเลขต้นทุนราคาเอ็นจีวีให้สำเร็จ
ก็เพราะหากปล่อยให้ขึ้นไปเรื่อยๆ ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
(กพช.) ราคาสุดท้ายจะไปแตะ 14.50 บาทต่อกิโลกรัม
แต่หากผลสรุปโครงสร้างราคาเอ็นจีวีไม่ใช่ 14.50 บาทต่อกิโลกรัม
แต่ถูกกว่านั้นล่ะ กระทรวงพลังงานจะคืนเงินให้ประชาชนอย่างไร...?
นับตั้งแต่ปี 2554 ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้
กระทรวงพลังงานยังไม่สามารถสรุปตัวเลขต้นทุนราคาเอ็นจีวีได้สำเร็จ
แม้จะมีโครงสร้างราคาเอ็นจีวีออกมาให้เลือกกันถึง 6 แบบ
และแต่ละแบบล้วนแล้วแต่ราคาต่ำกว่า 14.50 บาทต่อกิโลกรัมทั้งสิ้น
ด้านเจ้ากระทรวงอย่างนายอารักษ์ก็ยังไม่มีอาการเร่งที่จะนัดประชุมสรุป
เพราะยังคงติดภารกิจไปต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
ในขณะที่เจ้าหน้าที่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
(สนพ.)พยายามเร่งเช้าเร่งเย็นทำให้เสร็จโดยเร็ว
เพราะรู้ทั้งรู้อยู่ในใจว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะแก้ปัญหาและให้มีการ
ยอมรับกันง่ายๆ
ถึงขนาดว่าผู้ประกอบการแท็กซี่ไม่เห็นด้วยพร้อมลาออกจากคณะกรรมการพิจารณา
ต้นทุนเอ็นจีวีครั้งนี้
เมื่อหันมาดูราคาเอ็นจีวีที่เคาะกันมาแต่แรก
14.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็นราคาที่ผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะ รถแท็กซี่
และรถขนส่งต่างไม่เห็นด้วย และเชื่อว่าราคาจะถูกกว่านี้
กระทรวงพลังงานจึงเปลี่ยนใจให้จุฬาฯ มาทำการศึกษาตัวเลขกันใหม่
โดยประเด็นสำคัญคือ ผู้ประกอบการต้องการให้นำราคาก๊าซธรรมชาติเหลว
หรือแอลเอ็นจี ออกจากการคำนวณราคาเฉลี่ยของก๊าซเอ็นจีวี
เพราะแอลเอ็นจีที่นำเข้าจากต่างประเทศ เป็นก๊าซฯ
ที่จะนำมาใช้กับโรงไฟฟ้าเท่านั้น
หากนำมารวมเฉลี่ยคิดเป็นต้นทุนของเอ็นจีวีด้วยจะทำให้ราคาสูงและผู้ใช้รถ
ยนต์ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยเหตุไฉนต้องมาแบกภาระด้วย
เมื่อเป็นอย่างนี้ผลของการศึกษาจึงต้องแยกเป็นราคากรณีที่รวมแอลเอ็นจีและ
ไม่รวมแอลเอ็นจี ดังนี้
1.ต้นทุนราคาเอ็นจีวีที่แท้จริงกรณีรวมแอลเอ็นจีจะอยู่ที่ 12.50
บาทต่อกิโลกรัม กรณีไม่รวมแอลเอ็นจีจะอยู่ที่ 12.25 บาทต่อกิโลกรัม
2.ต้นทุนราคาเอ็นจีวีที่อยู่บนแนวท่อก๊าซฯ กรณีรวมแอลเอ็นจีจะอยู่ที่ 11.20
บาทต่อกิโลกรัม กรณีไม่รวมแอลเอ็นจีจะอยู่ที่ 11 บาทต่อกิโลกรัม และ
3.ต้นทุนราคาเอ็นจีวีที่อยู่นอกแนวท่อก๊าซฯ กรณีรวมแอลเอ็นจีอยู่ที่ 13.84
บาทต่อกิโลกรัม และกรณีไม่รวมแอลเอ็นจีอยู่ที่ 13.60 บาทต่อกิโลกรัม
เห็นตัวเลขสรุปออกมาอย่างนี้แล้ว
แน่นอนว่ากระทรวงพลังงานจำเป็นต้องไปแก้ไขราคาต้นทุนเอ็นจีวีที่ประกาศไว้
14.50 บาทต่อกิโลกรัมให้ปรับลดลงแน่นอน แต่ปัญหาคือ
กระทรวงพลังงานจะเลือกใช้ราคาเอ็นจีวีที่รวมแอลเอ็นจีหรือไม่...?
ซึ่งแน่นอนว่ากรณีรวมแอลเอ็นจีจะทำให้ผู้ประกอบการคัดค้านแน่นอน
แต่กรณีไม่รวมแอลเอ็นจีนี่สิสำคัญ...เพราะต้องผลักต้นทุนราคาแอลเอ็นจีไปคืน
ไว้ที่ค่าไฟฟ้า
และเรื่องนี้ทั้ง สนพ.และจุฬาฯ
ก็ทำการศึกษากันไว้เช่นกันว่า ปี 2554 ไทยนำเข้าแอลเอ็นจี 5 แสนตัน
คิดเป็นต้นทุนค่าไฟฟ้าประมาณเกือบ 1 สตางค์ต่อหน่วย
และแนวโน้มต้องนำเข้าเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 5 แสนตัน โดยปีนี้นำเข้ารวม 1
ล้านตัน และหากครบ 5 ล้านตันจะทำให้ค่าไฟฟ้าต้องปรับขึ้นอีก 3
สตางค์ต่อหน่วยฃ
และแนวโน้มการนำเข้าแอลเอ็นจีเป้าหมาย 5
ล้านตันจะเร็วขึ้นกว่าที่คาดการณ์กันไว้
หากแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (พีดีพี) ที่กำลังจะคลอดออกมาเร็วๆ
นี้เช่นกัน หันมาพึ่งพาก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้ามากขึ้น แน่นอนว่าหาก
สนพ.จะต้องปรับแผนให้ ปตท.นำเข้าเร็วกว่ากำหนด
ซึ่งมีผลกระทบต่อราคาเอ็นจีวีหรือไฟฟ้าเร็วขึ้นแน่นอน
ต้องถามว่ากระทรวงพลังงานจะเลือกผลักภาระต้นทุนแอลเอ็นจีไปเฉลี่ยรวมกับค่า
ก๊าซทั้งหมด หรือจะโยนไปที่ค่าไฟฟ้าให้ประชาชนทั้งประเทศร่วมแบกรับ...?
ซึ่งเชื่อว่าใน 1-2
เดือนนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานจะต้องนั่งหัวโต๊ะตัดสินใจอย่างเด็ด
ขาดเสียที ว่าจะเลือกแบบไหนหรือจะมีทางออกทางอื่น
เนื่องจากเรื่องนี้ไม่ควรปล่อยไว้เนิ่นนาน เพราะทุกอย่างที่เกี่ยวข้องได้
มีการจัดทำไว้เสร็จสิ้นหมดแล้ว
เหลือเพียงท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานมาตัดสินใจเท่านั้นว่าจะเอา
อย่างไรกับอนาคตพลังงานของประเทศ.
+++++++++++++++++++++++
source : http://www.thaipost.net/news/230512/57193
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น