source : http://www.thainews-online.com/index.php?mo=3&art=611164
การสำรวจเพื่อค้นหาปิโตรเลียมนั้นต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล
ต้องการบุคลากรที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญ รวมไปถึงเครื่องมืออุปกรณ์
และเทคโนโลยีที่ทันสมัย การเชิญชวนให้เอกชนเข้ามารับความเสี่ยงแทนรัฐ
จึงต้องแลกกับเงื่อนไขผลตอบแทนที่จูงใจและเหมาะสมกับความเสี่ยงในการดำเนินการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม
ระบบแบ่งผลประโยชน์ที่รัฐนำมาใช้ตามพระราชบัญญัติปิโตรเลียม
พ.ศ. 2514 นั้นกำหนดให้จัดเก็บในรูปของค่าภาคหลวงซึ่งมีอัตราคงที่คือร้อยละ 12.5
ของมูลค่าปิโตรเลียมที่ขายและมีการจัดเก็บภาษีเงินได้ ในอัตราร้อยละ 50
ของกำไรสุทธิ
ต่อมาในปี พ.ศ. 2532
รัฐบาลได้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติปิโตรเลียม เพื่อปรับรูปแบบการจัดเก็บค่าภาคหลวง
สำหรับบริษัทที่ได้รับสัมปทานในช่วงต่อมา
โดยจัดเก็บค่าภาคหลวงในรูปแบบขั้นบันไดตามระดับการผลิตตั้งแต่ร้อยละ 5-15
ของมูลค่าปิโตรเลียมที่ขาย
ในขณะที่การจัดเก็บภาษีเงินได้ยังอยู่ในอัตราเดิมคือร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิ
พร้อมทั้งมีส่วนที่เพิ่มเติมเข้ามาคือมีการจัดเก็บ ผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษร้อยละ
0-75 ของกำไรปิโตรเลียม ผลประโยชน์พิเศษตรงนี้
มีจุดประสงค์เพื่อให้รัฐได้รับส่วนแบ่งผลประโยชน์มากยิ่งขึ้น
จะเป็นผลดีต่อทั้งเอกชนและรัฐ โดยหากเป็นช่วงที่ปิโตรเลียมในตลาดโลกมีราคาสูง
และบริษัทผู้รับสัมปทานมีการผลิตออกขายมาก
ก็จะส่งผลให้รัฐได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์มากขึ้นตามไปด้วย
กระทรวงพลังงานเปิดเผยผลการจัดเก็บรายได้จากกิจการสำรวจและผลิตของผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมภายในประเทศและจากพื้นที่พัฒนาร่วมไทย
- มาเลเซีย ในรอบ 12 เดือนของปีงบประมาณ 2552 (1 ต.ค. 2551 – 30 ก.ย. 2552)
คิดเป็นเงินเข้ารัฐทั้งสิ้น 140,959 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่ายอดที่จัดเก็บของปีงบประมาณ
2551 ซึ่งเก็บได้รวม 121,084 ล้านบาท ถึง 19,875 ล้านบาท (หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ
16)
ในขณะที่ปีงบประมาณ
2553 (1 ต.ค. 2552 – 30 ก.ย. 2553) จัดเก็บรายได้เป็นเงินเข้ารัฐทั้งสิ้น
121,518.91 ล้านบาท
โดยแบ่งเป็นค่าภาคหลวงปิโตรเลียมที่จัดเก็บจากแหล่งในประเทศเป็นเงิน 42,044.67
ล้านบาท ส่วนแบ่งรายได้จากการผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย
เป็นเงิน 9,969.47 ล้านบาท และรายได้จากผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ เป็นเงิน 1,779.77
ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีรายได้ที่จัดเก็บโดยกรมสรรพากร คือ ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม
เป็นเงิน 67,725 ล้านบาท
ตัวเลขรายได้ที่รัฐได้รับจากระบบแบ่งปันผลประโยชน์ที่มากกว่า
1 แสนล้านบาทในแต่ละปี
ถือได้ว่ามีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าอย่างที่เห็นและเป็นอยู่ในปัจจุบัน
มาถึงจุดนี้เราคงได้คำตอบแล้วละว่า
การตัดสินใจเชิญชวนและสร้างแรงจูงใจให้เอกชนได้เข้ามาลงทุนสำรวจหาปิโตรเลียมในอดีตเมื่อเกือบ
50 ปีที่แล้ว
ได้ก่อให้เกิดผลประโยชน์ตอบแทนกลับคืนสู่รัฐเป็นจำนวนมากในแต่ละปี
ข้อมูลอ้างอิง;
จากกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น