source : http://www.thainews-online.com/index.php?mo=3&art=600878
เมื่อรัฐบาลได้ตระหนักแล้วว่าการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม
ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล และยังมีความเสี่ยงที่สูงมาก
การออกประกาศเชิญชวนให้เอกชนเข้ามายื่นขอสิทธิ์การสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศเป็นครั้งแรกจึงได้เริ่มต้นขึ้นในปี
พ.ศ. 2504 โดยมีบริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียมจากต่างประเทศให้การตอบรับและสนใจ
เพราะในทางธุรกิจเชื่อกันว่า เมื่อมีความเสี่ยงสูง
ก็ต้องมีผลตอบแทนที่คุ้มค่าเช่นกัน
จึงมีบริษัทเอกชนที่ทำธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมทั้งในและต่างประเทศเข้ามายื่นขอสิทธิ์การสำรวจหลายราย
จนถือได้ว่ายุคนั้นเป็นยุคตื่นตัวของการสำรวจปิโตรเลียมเลยทีเดียว
จากข้อมูลที่ได้มีการบันทึกไว้
บริษัท Union Oil Company of California ซึ่งปัจจุบันคือบริษัท
เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด คือบริษัทต่างชาติที่ปักธงเป็นเจ้าแรก
ในการได้สิทธิให้ทำการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่ภาคอีสาน
หลังได้รับการอนุมัติจากรัฐเมื่อปี พ.ศ.2505
แต่การขุดเจาะหลุมสำรวจน้ำมันของบริษัทก็ไม่ประสบผลสำเร็จ
จึงจำต้องคืนสิทธิในพื้นที่ทั้งหมดให้กับกรมโลหะกิจ
หรือกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติในปัจจุบัน ต่อมาในปี พ.ศ. 2509 บริษัท กัลฟ์ออยล์
ซึ่งเป็นบริษัทต่างชาติรายที่สองก็ได้รับสิทธิการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในบริเวณกรุงเทพฯและปริมณฑล
แต่เมื่อเริ่มทำการขุดเจาะสำรวจก็ไม่พบปิโตรเลียมเช่นเดียวกัน
จึงได้ปรับปรุงหลุมเป็นหลุมผลิตน้ำบาดาลและมอบให้กับกรมทรัพยากรธรณีไป
ถึงแม้ว่าในช่วงเริ่มต้น
การสำรวจและผลิตปิโตรเลียมบนบกจะกลายเป็นความล้มเหลวของบริษัทต่างชาติ
แต่หลังจากที่ทางองค์การสหประชาชาติ มีการออกกฎหมายทางทะเล
ที่ใช้บังคับแก่ชาติสมาชิกซึ่งอยู่ในอาณาเขตชายฝั่งและให้ทรัพยากรใต้ทะเลในพื้นที่ดังกล่าวเป็นสิทธิแก่เจ้าของประเทศ
จึงส่งผลให้ประเทศไทย
สามารถออกประกาศเชิญชวนเอกชนให้มายื่นขอสิทธิสัมปทานการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทย
และในทะเลอันดามันได้ ซึ่งปรากฏว่ามีบริษัทต่างชาติให้ความสนใจและได้รับอนุญาตถึง 6
บริษัท
และบริษัทที่ประสบความสำเร็จในการขุดเจาะสำรวจและสามารถผลิตในเชิงพาณิชย์ได้เป็นเจ้าแรกในประเทศไทยก็คือบริษัท
Union Oil หรือบริษัทเชฟรอนในปัจจุบันนั่นเอง
โดยพบทั้งก๊าซธรรมชาติและก๊าซธรรมชาติเหลว
ที่มีปริมาณมากพอที่จะผลิตเชิงพาณิชย์จากแปลงสัมปทาน B12
ซึ่งได้รับการพัฒนาจนกลายมาเป็นแหล่งเอราวัณในปัจจุบัน
หลังจากนั้น Texas
Pacific (ปัจจุบันได้โอนสิทธิให้กับบริษัท ปตท.สผ. และบริษัทผู้ร่วมทุน)
ก็กลายเป็นบริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรายที่สองในอ่าวไทย
ที่เจาะหลุมสำรวจพบก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย จากแปลงสัมปทาน B17
และมีการพัฒนาจนกลายเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ
ที่รู้จักกันในชื่อแหล่งบงกช
จากความล้มเหลวของบริษัทเอกชนในช่วงเริ่มต้นของการเปิดให้สัมปทาน
จนกลายมาเป็นความสำเร็จในช่วงต่อมา
และกลายเป็นจุดเปลี่ยนของประเทศไทยให้เข้าสู่ยุคแห่งความโชติช่วงชัชวาล
มีแหล่งพลังงานเป็นของตัวเอง และช่วยลดภาระการนำเข้าพลังงาน
สะท้อนให้เห็นถึงการตัดสินใจที่ถูกต้องของภาครัฐในการดำเนินนโยบายด้านพลังงาน
โดยเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาเป็นผู้ดำเนินการ
ข้อมูลอ้างอิง;
จากกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน
////////////////////////////////////////////////
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น