วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2555

ยูเออี...สวรรค์กลางทะเลทราย


ดินแดนแห่งทะเลทรายในความคิดคำนึงคงร้อนระอุแผดเผาทั้งกายและใจ แต่ที่นี่ ณ อาบูดาบี ฉันไม่รู้สึกแม้แต่น้อยว่ายืนอยู่บนผืนทะเลทราย


ลมเย็นพัดเอื่อยๆ ที่อุณหภูมิราว 20 องศาในปลายเดือนพฤศจิกายน ช่างเย็นสบายจนทำให้จิตใจสงบและเยือกเย็นตามไปด้วย


มัสยิดชีคซาอิด: รวมโลกเป็นหนึ่ง

หลายคนบอกว่าชีวิตเริ่มต้นเมื่ออายุ 40 นั่นคงเป็นคำพูดที่ใช้เปรียบเทียบกับประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้ดีที่สุดเพราะประเทศตะวันออกกลางแห่งนี้ใช้เวลาเพียง 4 ทศวรรษในการสร้างตัวเองจากทะเลทรายอันแห้งแล้งจนเติบโตเป็นประเทศที่มีความมั่งคั่งและแข็งแกร่งทั้งทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์หรือเรียกย่อ ๆ ว่า ยูเออี เป็นสหพันธรัฐที่เกิดจากการรวมตัวกันของรัฐอาหรับ 7 รัฐริมอ่าวเปอร์เซีย ประกอบด้วย อาบูดาบี, อัจมาน, ดูไบ, ฟูไจราห์, ราส - อัล ไคมาห์, ชาร์จาห์ และ อุมม์ อัล - คูเวน และเป็นประเทศที่ติดอันดับประชากรมีรายได้ต่อหัวสูงที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง (ราว 1.5 ล้านบาทต่อคนต่อปี - ข้อมูลปี ค.ศ. 2010)

ยูเออีเพิ่งจะฉลองวันชาติครบรอบ 40 ปีเมื่อวันที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา ถ้าปราศจากวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของชีค ซาอิด บิน สุลต่าน อัล นาห์ยัน เจ้าผู้ก่อตั้งประเทศซึ่งล่วงลับไปแล้ว ประเทศคงไม่สามารถก้าวมาไกลได้ขนาดนี้ ขณะเดียวกันชาวเอมิเรตส์ก็ได้เรียนรู้ว่าการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป

เมืองหลวงของยูเออีคืออาบูดาบีซึ่งเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดและประชากรมีรายได้ต่อหัวสูงที่สุดของประเทศ ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมรัฐนี้ถึงได้รับฉายาว่าเป็นสวรรค์แห่งทะเลทรายและสวนแห่งอ่าวเปอร์เซีย เพราะเงียบสงบและเขียวขจีด้วยต้นปาล์มเรียงรายบนเกาะกลางถนน

หลายคนอาจจะตื่นเต้นและตั้งตารอคอยการได้ขึ้นไปยืนอยู่บน เบิร์จ คาลิฟา ตึกที่สูงที่สุดในโลกของรัฐเพื่อนบ้านอย่างดูไบ แต่ฉันกลับประทับใจเมื่อได้มายืนอยู่หน้ามัสยิดชีคซาอิด ซึ่งเป็นมัสยิดประจำเมืองหลวงมากกว่า ด้วยความยิ่งใหญ่และอลังการทำให้มัสยิดหลวงแห่งนี้เป็นจุดหมายปลายทางหนึ่งที่นักท่องเที่ยวต้องมาเยือนให้ได้ เพราะเป็นเสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมของประเทศ

ชีคซาอิดเป็นมัสยิดที่มีขนาดใหญ่และงดงามที่สุดในประเทศและใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก มีอาณาบริเวณ 22,412 ตารางเมตร ซึ่งเทียบเท่ากับสนามฟุตบอล 5 สนาม และสามารถรองรับผู้มาประกอบพิธีกรรมทางศาสนาได้สูงถึง 41,000 คน ใช้เวลาก่อสร้างราว 10 ปี (ค.ศ. 1996 - 2007) ตามดำริของชีค ซาอิด ผู้ก่อตั้งประเทศและเจ้าผู้ครองนครอาบูดาบีซึ่งล่วงลับไปแล้ว จึงมีการตั้งชื่อมัสยิดตามผู้นำ

แนวคิดของการสร้างมัสยิดแห่งนี้คือการรวมโลกเอาไว้ในสถานที่แห่งเดียว เพราะนอกจากจะเปิดกว้างต้อนรับของผู้คนทุกเชื้อชาติศาสนาจากทั่วโลกแล้ว การออกแบบและก่อสร้างยังเป็นการรวมเอาสถาปัตยกรรมและช่างฝีมือจากทั่วโลก ทั้งอิตาลี เยอรมนี โมร็อกโก อินเดีย ตุรกี อิหร่าน จีน อังกฤษ นิวซีแลนด์ กรีซ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อีกทั้งยังมีการผสมผสานวัสดุที่หลากหลายทั้ง หินอ่อน หินสี ทองคำ อัญมณี คริสตัลและเซรามิค

มัสยิดแห่งนี้เป็นสถานศักดิ์สิทธิ์เพื่อการประกอบพิธีการทางศาสนาของชาวมุสลิม ทุกคนจึงต้องแสดงความเคารพในสถานที่ เริ่มด้วยการแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย ผู้ชายสามารถใส่เชิ้ตแขนยาวและกางเกงขายาวได้ ส่วนผู้หญิงห้ามใส่กางเกงขาสั้น กระโปรงสั้น ชุดรัดรูปหรือเสื้อผ้าที่เปิดเผยให้เห็นผิวหนัง และก่อนที่จะเข้าไปด้านใน ผู้หญิงจะต้องสวมชุดประจำชาติของชาวเอมิเรตส์ที่เรียกว่า อบาย่า (abaya) ซึ่งเป็นชุดคลุมยาวสีดำและมีผ้าคลุมศีรษะที่เรียกว่า ชยาล่า (shayla) ซึ่งทางมัสยิดจัดไว้ให้ และต้องโพกผ้าคลุมศีรษะอยู่ตลอดเวลา ถ้าผ้าหล่นลงมาเมื่อไหร่ต้องรีบนำขึ้นไปโพกหัวให้เร็วที่สุด

ที่นี่มีกฎสำหรับแขกผู้มาเยือนว่า ต้องปฏิบัติตัวให้เหมาะสม ห้ามจับมือหรือจูบกัน สามารถถ่ายรูปได้ทุกอย่างยกเว้นที่ฝังพระศพของ ชีค ซาอิด ห้ามแตะต้องคัมภีร์อัลกุรอาน ไม่เช่นนั้นอาจลงเอยด้วยการเข้าคุก

มัสยิดนี้สร้างขึ้นด้วยหินอ่อนสีขาว มีโดมสไตล์โมร็อกโกทั้งหมด 82 โดม มีเสาคอลัมน์ที่ทำเป็นรูปต้นปาล์มมากกว่า 1,000 ต้นทำด้วยหินอ่อนสีขาวและประดับประดาด้วยอัญมณีล้ำค่า ยอดเสาคอลัมน์ที่เป็นรูปใบไม้ทำด้วยทองคำ พื้นของลานกลางมัสยิดที่มีขนาด 18,000 ตารางเมตรก็ทำด้วยหินอ่อนและฝังด้วยลวดลายที่เป็นดอกไม้ขนาดใหญ่ซึ่งทำด้วยหินอ่อนสีและโมเสกล้ำค่าหลากชนิด

มัสยิดแห่งนี้ไม่ได้งดงามเฉพาะภายนอกเท่านั้น เพราะเมื่อเข้าไปภายในห้องโถงด้านในทุกคนถึงกับตะลึงกับภาพตรงหน้า การตกแต่งประดับประดาประหนึ่งว่าตั้งใจจะให้เป็นสรวงสวรรค์ เริ่มจากประตูทางเข้าที่ตกแต่งด้วยทองและกระจกแก้วแกะสลักสวยงาม ผนังหินอ่อนสีขาวฝังด้วยหินสีที่ทำเป็นลวดลายดอกไม้เลื้อยพันกันดูงดงามยิ่ง พรมปูพื้นในห้องเป็นพรมจากอิหร่านและเป็นพรมทอมือผืนใหญ่ที่สุดในโลกขนาด 5,627 ตารางเมตร หนัก 45 ตัน มีปมถักอยู่ 2,268,000,000 ปม

สิ่งที่เรียกความฮือฮาของนักท่องเที่ยวได้มากที่สุดคงจะเป็นแชนเดอเลียใหญ่บนเพดานที่เปล่งแสงระยิบระยับสมเป็นแชนเดอเลียที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่หนักกว่า 9 ตัน ที่นี่มีแชนเดอเลียทั้งหมด 7 โคมซึ่งนำเข้าจากเยอรมนี ทำด้วยทองคำและทองแดง ประดับด้วยคริสตัลสวารอฟสกี้จากออสเตรียและแก้วจากอิตาลี

ไม่มีใครทราบมูลค่าการก่อสร้างและของตกแต่งทั้งหมด แต่เชื่อแน่ว่าคงจะมหาศาล เพราะแค่สนนราคาของแชนเดอเลียทั้ง 7 และพรมทอมือในห้องโถงใหญ่ก็สูงถึงอย่างละ 300 ล้านบาท สมกับเป็นมรดกอันล้ำค่าของอาบูดาบีจริง ๆ

นอกจากมัสยิดชีคซาอิดที่เป็นตัวแทนของวัฒนธรรมแล้ว อาบูดาบีกำลังพยายามจะสร้างตัวเองให้เป็นจุดหมายปลายทางของวัฒนธรรมด้วยการพัฒนาเกาะซาดิยาททางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองให้เป็นเมืองแห่งวัฒนธรรม โดยจะมีพิพิธภัณฑ์ระดับโลก 3 แห่งคือ ลูฟว์, ซาอิด ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ และกุกเกนไฮม์ ซึ่งจะแล้วเสร็จในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

แม้ว่าอาบูดาบีจะเป็นเมืองหลวงที่มั่งคั่งไปด้วยปริมาณน้ำมันและก๊าซสำรองถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของโลกและคาดว่าจะมีน้ำมันสำรองพอใช้ไปอีก 150 ปีข้างหน้า แต่ผู้ก่อตั้งประเทศที่ล่วงลับไปแล้วก็เล็งเห็นว่าถึงวันหนึ่งน้ำมันก็ต้องหมดไปจากโลก จึงต้องการลดการพึ่งพาน้ำมันลง ชีค ซาอิด จึงดำริให้มีการพัฒนาเมืองแบบยั่งยืนด้วยการสร้างมาสดาร์ ซิตี ซึ่งอยู่ใกล้กับสนามบินอาบูดาบีขึ้นมาเพื่อให้เป็นเมืองต้นแบบที่ไร้คาร์บอน เน้นการใช้พลังงานจากธรรมชาติหรือพลังงานทดแทนที่สะอาด และจะมีการสร้างกำแพงรอบเมืองเพื่อกั้นความร้อนจากทะเลทราย

เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ มาสดาร์จะใช้กระแสไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงงานไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์เกือบทั้งหมด อาคารหรือบ้านแต่ละหลังจะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าด้วย ปัจจุบันมีมหาวิทยาลัยมาสดาร์ที่เปิดทำการสอนในเมืองนี้แล้ว

เบิร์จ คาลิฟา: อนุสาวรีย์แห่งการล่มสลาย?

ถ้าเมืองหลวงอย่างอาบูดาบีเป็นตัวแทนของการสร้างความสมดุลให้ประเทศเพราะพยายามเน้นไปที่การพัฒนาแบบยั่งยืน ดูไบน่าจะเป็นตัวแทนของความปรารถนาที่จะสร้างความเจริญทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วแต่กลับเปราะบาง

ในขณะที่อาคารบ้านเรือนของอาบูดาบีมีลักษณะเตี้ยๆ ทาสีธรรมชาติหรือสีทรายและเป็นสถาปัตยกรรมสไตล์อิสลาม ดูไบกลับมีแต่ตึกระฟ้ารูปทรงแปลกๆ หน้าต่างกระจกแวววาวเหมือนตึกในหนังอวกาศ แต่อย่างหนึ่งที่ทั้ง 2 รัฐมีเหมือนกันคือ บ้านเมืองสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย และไม่ค่อยเห็นคนออกมาเดินบนถนนหรือทางเท้า ยิ่งถ้าเป็นช่วงหน้าร้อนคนจะอยู่กันแต่ในตึก เพราะอากาศจะร้อนมาก อุณหภูมิสูงถึง 45 - 50 องศา

แม้ว่าน้ำมันล็อตแรกที่มีการส่งออกจากยูเออีในปี ค.ศ. 1962 จะขุดจากเกาะดาสของอาบูดาบี แต่มันกลับเป็นดูไบที่ทำให้โลกได้รู้จักยูเออี ดูไบเป็นเมืองใหญ่ที่พัฒนาตัวเองอย่างรวดเร็ว นอกจากจะเป็นเมืองท่าและเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญแล้ว ยังเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวที่โตเร็วที่สุดในโลกแห่งหนึ่งและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่สุดในตะวันออกกลาง

เมื่อ 30 ปีก่อน ตึกที่สูงที่สุดของดูไบคือตึกเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ซึ่งสูงเพียงไม่กี่ชั้น แต่ปัจจุบันนี้เมื่อแหงนหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้าจะเห็นตึกระฟ้าตั้งสูงตระหง่านอยู่มากมาย ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาดูไบเน้นการพัฒนาด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อนำมาทดแทนรายได้จากการขายน้ำมันที่กำลังจะหมดลง

ชีค โมฮัมหมัด บิน ราชิด อัล มัคทูม เจ้าผู้ครองรัฐดูไบและนายกรัฐมนตรีสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มีความเชื่อว่า คนเราต้องฝันในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจว่าทำไมดูไบถึงชอบสร้างหรือทำอะไรใหม่ๆ ให้โลกตะลึง

ในปี ค.ศ. 1999 มีการเปิดตัวโรงแรมเบิร์จ อัล อาหรับ เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ของดูไบ โรงแรมที่มีรูปทรงเหมือนใบเรือของเรือใบและเป็นโรงแรมหรูระดับ 7 ดาว แห่งแรกของโลกแห่งนี้ทำให้ดูไบได้ปักหมุดลงบนแผนที่โลก แต่ปัจจุบันมันกลายเป็นตึกเบิร์จ คาลิฟา ของดูไบที่สร้างความฮือฮาให้กับชาวโลก เพราะเป็นอาคารสูงที่สุดในโลก ด้วยความสูง 828 เมตร มี 160 ชั้น ใช้เงินลงทุนในโครงการราว 6 แสนล้านบาท

เดิมทีตึกนี้รู้จักกันในชื่อ "เบิร์จ ดูไบ" แต่เนื่องจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ในดูไบ ทำให้ ชีค คาลิฟา บิน ซาอิด อัล นาห์ยัน เจ้าผู้ครองนครอาบูดาบีและประธานาธิบดีสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เข้ามาช่วยอุ้มดูไบไว้ จึงมีการเปลี่ยนชื่อตึกมาเป็น "เบิร์จ คาลิฟา" เพื่อเป็นเกียรติแก่ ชีค คาลิฟา

ดูไบเปิดตัวตึกเบิร์จ คาลิฟาอย่างเป็นทางการเมื่อต้นปีที่แล้ว โดยหวังจะใช้มันช่วยสร้างภาพพจน์ใหม่ของดูไบที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตหนี้สินเมื่อ 2 ปีก่อน ตอนเปิดตึกใหม่ ๆ มีคนคาดการณ์ว่าตึกสูงที่สุดในโลกแห่งนี้อาจจะกลายเป็นอนุสาวรีย์แห่งการล่มสลายของดูไบ เพราะตอนนั้นราคาอสังหาริมทรัพย์ในดูไบกำลังตกต่ำสุดๆ จากวิกฤติเศรษฐกิจโลกและของดูไบเอง ซึ่งเท่าที่ได้ไปสัมผัสก็รู้สึกว่ามันค่อนข้างเงียบเหงา ไม่คึกคัก ห้างหรูบางห้างในกรุงเทพฯดูจะคึกคักมากกว่าเสียอีก

ณ ปัจจุบันดูไบยังคงมีการพัฒนาด้านอสังหาริมทรัพย์อย่างไม่หยุดยั้ง เพราะถนน 2 ข้างทางยังมีตึกสูงอีกหลายแห่งอยู่ระหว่างก่อสร้าง

ถึงเวลาต้องโบกมือลาดินแดนที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมอลังการงานสร้างตามแบบฉบับของประเทศมั่งคั่งแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าผืนแผ่นดินที่ฉันยืนอยู่ตอนนี้ครั้งหนึ่งจะเคยเป็นผืนทรายอันแห้งแล้งที่มีเพียงเต็นท์เบดูอินไว้ให้พักพิง

แม้จะผ่านร้อนผ่านหนาวมาเพียง 40 ปี แต่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์กลับแข็งแกร่งเกินวัยจนกลายเป็นดินแดนที่คนทั้งโลกต้องจับตามอง แต่อนาคตจะเป็นอย่างไรหรือจะยั่งยืนได้เพียงใด เป็นคำถามที่น่าหาคำตอบยิ่ง


ข้อควรรู้ก่อนเดินทาง

สายการบินเอทิฮัด แอร์เวย์ บินตรงจากกรุงเทพมหานครสู่สนามบินอาบูดาบีของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ทุกวันๆ ละ 2 เที่ยว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6.30 ชั่วโมง เวลาท้องถิ่นช้ากว่าประเทศไทย 3 ชั่วโมง

การเดินทางไปสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ต้องขอวีซ่า โดยต้องมีผู้รับรองหรือสปอนเซอร์เป็นคนขอให้ โดยผ่านทางสายการบิน บริษัททัวร์หรือโรงแรมในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แต่ไม่สามารถขอวีซ่าผ่านทางสถานทูตสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่กรุงเทพฯ ได้ เมื่อลงเครื่องแล้วก่อนที่จะผ่านเคาน์เตอร์ตรวจคนเข้าเมือง ผู้โดยสารต้องเข้าไปสแกนม่านตาในห้องข้าง ๆ ก่อนเพื่อบันทึกข้อมูล

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นประเทศมุสลิมในตะวันออกกลางที่มีความเคร่งครัดในเรื่องการแต่งกายน้อยกว่าประเทศอื่นๆ แต่นักท่องเที่ยวควรแต่งกายให้เหมาะสมเมื่ออยู่ในสถานที่สาธารณะ ผู้หญิงไม่ควรนุ่งกางเกงขาสั้นหรือกระโปรงสั้นรวมถึงเสื้อผ้าที่เน้นส่วนสัดและเปิดเผยให้เห็นผิวหนัง ยกเว้นที่ชายหาดผู้หญิงสามารถสวมกางเกงขาสั้นและชุดบิกินีได้

นักท่องเที่ยวสามารถถ่ายรูปได้ทั่วไป แต่ถ้าต้องการถ่ายภาพชาวเอมิเรตส์หรือคนท้องถิ่นโดยเฉพาะผู้หญิงต้องขออนุญาตเจ้าตัวก่อน และไม่ควรถ่ายภาพตึกที่ทำการรัฐบาลหรือตึกของหน่วยงานทหาร

การซื้อและดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต้องมีใบอนุญาตจากกระทรวงมหาดไทยซึ่งออกให้เฉพาะคนที่ไม่ได้เป็นชาวมุสลิมและต้องมีถิ่นพำนักอยู่ในยูเออีเท่านั้น ตามบาร์ในโรงแรมชั้นนำมีเหล้าเสิร์ฟ แต่ดื่มได้เฉพาะคนที่เป็นแขกของโรงแรมเท่านั้น คนที่ไม่ใช่แขกต้องแสดงใบอนุญาต รัฐอัจมาน เป็นรัฐที่ขายแอลกอฮอล์ได้อิสระ ส่วนรัฐชาร์จาห์ ห้ามขายและห้ามดื่มในทุกกรณี

สกุลเงินของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์คือ ดีแรมห์ (Dirham) 1 ดีแรมห์เท่ากับ 9 บาท










source: http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/lifestyle/20120107/427905/%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B5...%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น